การเลือกตั้งสิ้นสุดลงแล้วด้วยชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าถล่มทะลายได้เหมือนกัน หากพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว หัวหน้าพรรคและเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องแสดงสปิริตด้วยการลาออก เพราะผลเลือกตั้งออกมาต่ำกว่าการคาดหมายมาก
มีนักวิชาการให้ความคิดเห็นต่างๆ กัน พระบาทเห็นด้วยกับ รศ.ดร.พิชาย ที่กล่าวว่า ตนเชื่อว่าจะเกิดปฏิวัติหากเพื่อไทยใช้อำนาจผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมและโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม
ดร.พิชายยังให้ความเห็นด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่อาจครองใจประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสาน เพราะไม่สามารถขยายฐานเสียงได้ พระบาทเสริมว่าในสองภาคนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีภาพลักษณ์โดยรวมในภูมิภาค มีแต่ภาพลักษณ์ของผู้สมัครที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น และมีอยู่เป็นแบบเฉพาะตัวเท่านั้น ลักษณะเช่นนี้มีทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ในภาคอีสานนั้นคนที่นั่นไม่นิยมการพูดแบบให้ร้ายป้ายสี แต่นิยมการพูดแบบทำจริง ไม่นิยมการ “ดีแต่พูด” แต่นิยมการ “ทำจริง”มากกว่า
พระบาทเห็นด้วยกับ ดร.พิชาย ว่า ประชาธิปัตย์นั้นเหมาะสมกับการเป็นพรรคฝ่ายค้าน เพราะพูดเก่งโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก นี่เป็นลักษณะที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองทุกครั้ง เมื่อเป็นฝ่ายค้านและในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
สำหรับพรรคเพื่อไทยนั้นในหนึ่งปีของการเป็นรัฐบาลจะมีปัญหามาก เพราะไหนจะต้องปรับตัวและจะต้องทำตามนโยบายที่ให้สัญญากับประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้งแล้ว ยังจะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพไว้ด้วย ไหนจะกลุ่มเสื้อแดงว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วความสัมพันธ์กับเสื้อแดงจะต้องเปลี่ยนไป เพราะเสื้อแดงจะเป็นกลุ่มม็อบต่อไปและคอยประท้วงตามท้องถนนอีกไม่ได้ และเมื่อประท้วงไม่ได้ พลังเสื้อแดงก็จะค่อยๆ หมดความหมายไป
เพื่อไทยเมื่อได้อำนาจรัฐจะถอยห่างออกจากเสื้อแดงหรือไม่ หรือจะจัดความสัมพันธ์อย่างไร จะเก็บไว้เป็นพลังแฝงเพื่อต่อรองกับอำนาจแฝงที่ไหนหรือ แต่ที่แน่ๆ คงไม่ปล่อยให้เสื้อแดงออกมาแสดงพลังอย่างพร่ำเพื่อแน่
พรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นแกนนำรัฐบาล จะต้องทำตามนโยบายที่ได้ประกาศออกไป โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่แพงขึ้น และที่สัญญาว่าจะลดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์สัญญาว่าจะทำทันที นอกจากนั้นยังมีปัญหาเศรษฐกิจที่จะต้องแก้ไขให้ฟื้นตัวโดยเร็ว การเรียกร้องให้คนในชาติสามัคคีปรองดองกันก็เป็นนโยบายที่ประกาศไป
ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลจะอยู่ยืด ก็ต้องไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณ หรือพยายามหาทางให้คุณทักษิณเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยในเร็ววัน
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า รัฐบาลจะเผชิญกับปัญหาล่อแหลม หรือไม่ก็เสี่ยงต่อการบริหารงานแบบมีวิกฤตการณ์ในหนึ่งปีที่อาจจะต้องเห็นการประท้วง การเคลื่อนไหวของมวลชนหลายๆ กลุ่มทั้งเกิดขึ้นโดยธรรมดา หรือโดยที่มีกลุ่มการเมืองให้ท้ายและหนุนหลังอยู่
ถ้าไม่มีปัญหาเหล่านี้รัฐบาลก็อาจจะอยู่ได้โดยสามารถทำงานเต็มที่และอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะซื้อใจชนชั้นกลางคนกรุงเทพฯ ได้ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยนึกถึงประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
อีกปัญหาหนึ่งที่น่าวิตกก็คือ ฐานะของนายกรัฐมนตรีหญิงจะเป็นเช่นไร จะสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสามารถหรือไม่ เพราะระหว่างการเลือกตั้งเธอไม่ได้แสดงออกให้เห็นว่า เธอจะปกครองประเทศอย่างไร หรือมีวิสัยทัศน์ในการบริหารในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างไร และเธอจะใช้ความได้เปรียบอย่างไรจากการเป็นนักธุรกิจ
นอกจากนั้นสิ่งที่เราต้องติดตามก็คือ บรรดาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีจะมีใครบ้าง เพราะคนเหล่านี้จะทำให้เรารู้ว่าความคิดความอ่านของนายกรัฐมนตรีจะมีที่ไปที่มาอย่างไร และแนวโน้มในการบริหารงานจะออกมาอย่างไรด้วย
ก่อนหน้าที่ผลการเลือกตั้งจะออกมา เธอทราบถึงผลเอ็กซิสโพลล์ ซึ่งปรากฏว่าเพื่อไทยจะชนะทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างถล่มทะลาย เธอก็แสดงความมั่นใจมาก ยิ่งได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีจากทักษิณตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยความมั่นใจยิ่งสูงขึ้นอีก
เธอให้สัมภาษณ์ว่าเธอจะรับใช้ประชาชนให้ดีที่สุดและเธอขอโอกาสในการรับใช้พี่น้องประชาชน
นอกจากนี้แล้วเธอยังไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
เราก็หวังว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคงจะขึ้นมาเป็นผู้นำและปกครองประเทศด้วยความสามารถและทำทุกอย่างให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ด้วย
มีนักวิชาการให้ความคิดเห็นต่างๆ กัน พระบาทเห็นด้วยกับ รศ.ดร.พิชาย ที่กล่าวว่า ตนเชื่อว่าจะเกิดปฏิวัติหากเพื่อไทยใช้อำนาจผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมและโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม
ดร.พิชายยังให้ความเห็นด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่อาจครองใจประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสาน เพราะไม่สามารถขยายฐานเสียงได้ พระบาทเสริมว่าในสองภาคนั้นพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีภาพลักษณ์โดยรวมในภูมิภาค มีแต่ภาพลักษณ์ของผู้สมัครที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น และมีอยู่เป็นแบบเฉพาะตัวเท่านั้น ลักษณะเช่นนี้มีทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ในภาคอีสานนั้นคนที่นั่นไม่นิยมการพูดแบบให้ร้ายป้ายสี แต่นิยมการพูดแบบทำจริง ไม่นิยมการ “ดีแต่พูด” แต่นิยมการ “ทำจริง”มากกว่า
พระบาทเห็นด้วยกับ ดร.พิชาย ว่า ประชาธิปัตย์นั้นเหมาะสมกับการเป็นพรรคฝ่ายค้าน เพราะพูดเก่งโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก นี่เป็นลักษณะที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองทุกครั้ง เมื่อเป็นฝ่ายค้านและในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
สำหรับพรรคเพื่อไทยนั้นในหนึ่งปีของการเป็นรัฐบาลจะมีปัญหามาก เพราะไหนจะต้องปรับตัวและจะต้องทำตามนโยบายที่ให้สัญญากับประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้งแล้ว ยังจะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพไว้ด้วย ไหนจะกลุ่มเสื้อแดงว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เมื่อได้อำนาจรัฐแล้วความสัมพันธ์กับเสื้อแดงจะต้องเปลี่ยนไป เพราะเสื้อแดงจะเป็นกลุ่มม็อบต่อไปและคอยประท้วงตามท้องถนนอีกไม่ได้ และเมื่อประท้วงไม่ได้ พลังเสื้อแดงก็จะค่อยๆ หมดความหมายไป
เพื่อไทยเมื่อได้อำนาจรัฐจะถอยห่างออกจากเสื้อแดงหรือไม่ หรือจะจัดความสัมพันธ์อย่างไร จะเก็บไว้เป็นพลังแฝงเพื่อต่อรองกับอำนาจแฝงที่ไหนหรือ แต่ที่แน่ๆ คงไม่ปล่อยให้เสื้อแดงออกมาแสดงพลังอย่างพร่ำเพื่อแน่
พรรคเพื่อไทยในฐานะเป็นแกนนำรัฐบาล จะต้องทำตามนโยบายที่ได้ประกาศออกไป โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่แพงขึ้น และที่สัญญาว่าจะลดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์สัญญาว่าจะทำทันที นอกจากนั้นยังมีปัญหาเศรษฐกิจที่จะต้องแก้ไขให้ฟื้นตัวโดยเร็ว การเรียกร้องให้คนในชาติสามัคคีปรองดองกันก็เป็นนโยบายที่ประกาศไป
ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลจะอยู่ยืด ก็ต้องไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณ หรือพยายามหาทางให้คุณทักษิณเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยในเร็ววัน
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า รัฐบาลจะเผชิญกับปัญหาล่อแหลม หรือไม่ก็เสี่ยงต่อการบริหารงานแบบมีวิกฤตการณ์ในหนึ่งปีที่อาจจะต้องเห็นการประท้วง การเคลื่อนไหวของมวลชนหลายๆ กลุ่มทั้งเกิดขึ้นโดยธรรมดา หรือโดยที่มีกลุ่มการเมืองให้ท้ายและหนุนหลังอยู่
ถ้าไม่มีปัญหาเหล่านี้รัฐบาลก็อาจจะอยู่ได้โดยสามารถทำงานเต็มที่และอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะซื้อใจชนชั้นกลางคนกรุงเทพฯ ได้ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยนึกถึงประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง
อีกปัญหาหนึ่งที่น่าวิตกก็คือ ฐานะของนายกรัฐมนตรีหญิงจะเป็นเช่นไร จะสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสามารถหรือไม่ เพราะระหว่างการเลือกตั้งเธอไม่ได้แสดงออกให้เห็นว่า เธอจะปกครองประเทศอย่างไร หรือมีวิสัยทัศน์ในการบริหารในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างไร และเธอจะใช้ความได้เปรียบอย่างไรจากการเป็นนักธุรกิจ
นอกจากนั้นสิ่งที่เราต้องติดตามก็คือ บรรดาที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีจะมีใครบ้าง เพราะคนเหล่านี้จะทำให้เรารู้ว่าความคิดความอ่านของนายกรัฐมนตรีจะมีที่ไปที่มาอย่างไร และแนวโน้มในการบริหารงานจะออกมาอย่างไรด้วย
ก่อนหน้าที่ผลการเลือกตั้งจะออกมา เธอทราบถึงผลเอ็กซิสโพลล์ ซึ่งปรากฏว่าเพื่อไทยจะชนะทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างถล่มทะลาย เธอก็แสดงความมั่นใจมาก ยิ่งได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีจากทักษิณตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยความมั่นใจยิ่งสูงขึ้นอีก
เธอให้สัมภาษณ์ว่าเธอจะรับใช้ประชาชนให้ดีที่สุดและเธอขอโอกาสในการรับใช้พี่น้องประชาชน
นอกจากนี้แล้วเธอยังไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
เราก็หวังว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคงจะขึ้นมาเป็นผู้นำและปกครองประเทศด้วยความสามารถและทำทุกอย่างให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ด้วย
