มองอีกทางหนึ่งมันก็ดีเหมือนกันที่รัฐบาลประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งเพราะบรรยากาศของการช่วงชิงอำนาจแบบที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้มันได้สะท้อนสภาพการณ์ที่เคยขมุกขมัว เคยแอบ ๆ หรือแบบที่ถูกทำเป็นลืม ๆ กวาดซุกเข้าใต้พรมเอาไว้บัดนี้ก็เริ่มกระจ่างชัดมากขึ้นเป็นลำดับ
ที่สุดแล้วขบวนการสีแดงที่ยิ่งใหญ่รวมถึงพรรคการเมืองที่ชื่อว่าเพื่อไทยซึ่งเคยประกาศมาหลายระลอกว่าก้าวข้ามทักษิณไปแล้วล้วนแต่เป็นคำเพ้อเจ้อบนเวทีปราศรัยหรือในงานวิชาการเพ้อฝันเพราะคำแถลงนโยบายของทักษิณมันกระจ่างชัดเจนว่าเขาคือเถ้าแก่ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในพรรคเพื่อไทย และบนเวทีเสื้อแดง ดังนั้นต่อให้แกนนำนปช.ปากกล้าจะเคยประกาศว่าทักษิณเป็นแค่แนวร่วมหนึ่งของขบวนการคนเสื้อแดงแต่แกนนำนปช.ที่ห้าวหาญเหล่านั้นไม่เว้นแต่หมอเหวงสามีป้าธิดาก็ล้วนแต่ก้มหน้ากุมอวัยวะอยู่เบื้องหน้าทักษิณด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อันที่จริงการโฟนอินร่วมชั่วโมงของคนดูไบรอบนี้มันก็คืองานเปิดตัวนโยบายพรรคเพื่อไทยนั่นเอง นักการเมืองหรือคนสีแดงอย่าได้ปฏิเสธความเป็นจริงเรื่องนี้เสียให้เมื่อยเลยเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจะมีกรรมการบริหารพรรคคนไหนที่ลุกขึ้นมาว่า ที่ทักษิณพูดข้อ2.ข้อ3. มันยังไม่เหมาะต้องเปลี่ยนใหม่ ก็คงมีแต่คำพูดประเภทดีครับผมเหมาะสมครับนายใช้ได้ครับท่านกันระงมพรรคและก็ไม่แปลกอันใดที่คนอย่างพล.อ.ชวลิต-เสนาะ เทียนทองต้องระเห็จโบกมือลาเพราะว่าพอใกล้เลือกตั้งคนที่เคยถูกจัดวางให้ดูเสมือนมีตำแหน่งแห่งที่กลับไม่มี “อำนาจ” จริงในการต่อรองใด ๆ ทั้ง ๆ ที่การเมืองในระบบระบอบไหนก็ตามมันก็คือเกมการต่อรองจัดสรรปันส่วนอำนาจ ในเมื่อเขาหลอกให้มานั่งทำงานแต่ไม่มีพื้นที่อำนาจให้ก็โบกมือลากันดีกว่า งานนี้ทั้งบิ๊กจิ๋วและทั้งป๋าเหนาะคงจะเข้าใจดีเพราะเป็นม้าแก่ผ่านศึกมาโชกโชนย่อมรู้สัจธรรมทีฮูทีอิทในทางการเมือง ปัญหาก็คือว่าที่หัวหน้าพรรคสายบัว มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์คนนั้นที่มีประสบการณ์ถูกหักหลังทางการเมืองน้อยกว่าใครเขาอื่น
ปกหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนก่อนที่หาดหัวให้ครึ้มใจเล่นว่า “สึนามิ่ง” คงจะเป็นปกประวัติศาสตร์ในชีวิตที่เจ๊แกคงไม่อยากเก็บไว้ให้ปวดใจ เพราะเชียร์กันเหมือนจะสุดที่ไหนได้ทักษิณโผล่มารอบเดียวปกต่อไปกลายเป็นผู้หญิงขี่ม้าขาวชื่อปูยิ่งลักษณ์ไปซะแล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไรที่งานวันทักษิณโฟนอินจึงไม่มีเงาร่างของหัวหน้าพรรคสายบัวคนนี้อีกคนหนึ่ง
คำประกาศของทักษิณในวรรคจบที่ยืนยันเรื่องความจงรักภักดี ถ้ากลับเมืองไทยแล้วไม่จงรักภักดีให้พี่น้องประชาทัณฑ์ได้นั้น เป็นประโยคสำคัญที่ตอกย้ำคำสั่งห้ามแกนนำนปช.ขึ้นเวทีแดง และยิ่งตอกย้ำ “นโยบายไม่คบแดงสยาม-แดงล้มเจ้า” ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็มีร่องรอยของความไม่เข้าใจกันมาก่อน
เมื่อทักษิณประกาศอย่างนี้แดงล้มเจ้าตัวจริงอย่างเช่น ใจ อึ๊งภากรณ์ จึงออกโรงเขียนบทความเรื่อง ทักษิณกับเพื่อไทย “ไปไม่ถึง” ในเรื่องนโยบายสำหรับอนาคต แสดงความผิดหวังในตัวทักษิณ ประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมากคือบรรทัดที่เขียนว่า “ทักษิณเกือบจะไม่พูดถึงมวลชนเสื้อแดงเลย พูดถึงแต่พรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ถ้าขบวนการเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวได้คล่อง ต้องมีเสรีภาพในการรวมตัวกันและการชุมนุม ซึ่งต้องขยายไปสู่เสรีภาพแท้ในการตั้งสหภาพแรงงานและการนัดหยุดงานอีกด้วย เรื่องแบบนี้ที่เกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจและพลังให้ประชาชนทักษิณไม่พูดถึง และต้องถือว่าเป็นจุดอ่อน”
ก็จริงของเขาล่ะครับเพราะงานนี้เถ้าแก่ใหญ่จดจ่อแต่ปี่ฆ้องกลองเลือกตั้งไม่ได้ให้น้ำหนักความสำคัญกับมวลชนคนเสื้อแดงเลยเหมือนกับพยายามกันพรรคและตัวเองออกห่างจากกิจกรรมการเคลื่อนไหวของคนในขบวนการสีแดงด้วยซ้ำไป การเลือกตั้งรอบนี้จึงเป็นเสมือนกับการคัดสรรแบ่งเกรดแบ่งชั้นแบ่งกลุ่มขบวนการสีแดงที่เขาว่ามันหลากหลายสารพัดสาระเพคราวนี้แหละที่จะได้จัดแบ่งกันให้ชัดเจนเห็น ๆ
เริ่มจากแดงสยาม วันที่สุรชัย แซ่ด่านถูกจับเป็นวันปล่อยตัว 7 นปช. ต่อจากนั้นก็มีเหตุการณ์การ์ดนปช.จับกุมสาวเสื้อแดงที่ไปแจกใบปลิวไม่เอาม.112 ส่งให้ตำรวจเหตุการณ์ครั้งนั้นสะเทือนมวลชนแดงอยู่พอสมควรแต่ที่ไหนได้ แดงสยามเดินตามรอยเสธ.แดง เด๊ะ ๆ ตรงที่ถึงมึงไม่เอากูแต่กูก็ยังจะเอามึง ขนาดในบทความของใจ อึ๊งภากรณ์ที่วิจารณ์ทักษิณเละเทะยังไงก็ยังต้องยอมรับว่ายังจะต้องเลือกพรรคเพื่อไทย โหนขบวนแดงเถ้าแก่ต่อไปแม้ว่าเขาจะไม่ใยดีก็ตาม
ในบทความเขียนไว้ว่า... “คนเสื้อแดงคงต้องกัดฟันเลือกพรรคเพื่อไทยในปีนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องคิดหนักต่อไปว่าเราจะพัฒนาการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงอย่างไร ในรูปแบบที่อิสระจากพรรคเพื่อไทย” แปลแบบไทย ๆ ให้ตรงตัวก็คือ แดงสายนี้ยังต้องอาศัยร่มเงาแดงเถ้าแก่ใหญ่แต่ก็มีความฝันของเสรีชนอิสรชนอยู่ปลายทาง (ตอนนี้ยังไม่เสรีว่างั้น-ฮา! )
อาการกล้ำกลืนกินน้ำใต้ศอก มึงไม่เอากูแต่ก็ยังรักมึงในระหว่างขบวนการสีแดงยังสะท้อนออกมาในกรณีของแกนนอน เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนการรวมพลคนเสื้อแดงของบ.ก.ลายจุด (ซึ่งจัดประจำวันที่ 10,19 ของทุกเดือน) ก็มีป้ายไม่เอาม. 112 หรากลางขบวนแดง อยากรู้จริง ๆ ว่าในการแถลงข่าวพรรคเพื่อไทย การปราศรัยหาเสียงใด ๆ การ์ดของพรรคเพื่อไทยจะอนุญาตให้คนเสื้อแดงกลุ่มนี้ไปถือป้ายแบบนั้นหรือไม่ เชื่อขนมกินเลยว่าคงจะถูกจับส่งตำรวจแบบที่เคยเกิดอย่างแน่นอนและคงไม่มีคนเสื้อแดงสายพรรคเพื่อไทย สายนปช.โผล่หน้าไปช่วยให้เถ้าแก่ด่าอย่างแน่นอน
มองในภาพใหญ่เรื่องแบบนี้มันไม่ได้แปลกประหลาดอะไรในมุมของพัฒนาการขบวนการทางสังคมเพราะการที่มวลชนมารวมกันมาก ๆ กลายเป็นองค์กรเครือข่ายและขบวนการย่อมมีเหตุปัจจัยในแต่ละช่วงเวลาในยุคหนึ่งนักวิชาการที่วิพากษ์สถาบันกษัตริย์อย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเดินเข้าออกหลังเวทีเสื้อแดงนปช. ถ่ายรูปคู่กับจตุพร กับใครต่อใครเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแดงนปช. แต่พอมาวันนี้กลับมาต้องเปิดห้องแถลงข่าวโดยไม่มีแดงนปช. แดงพรรคเพื่อไทยเข้ามาช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่กระแสฮึ่ม ๆ ตบเท้าหรือการประกาศเอาหมาออกจากปากคนที่เกิดขึ้นในนับจากสงกรานต์เป็นต้นมามันก็เกิดจากการปราศัยบนเวทีของจตุพร พรหมพันธุ์เป็นปฐม
คนเสื้อแดงกลุ่มที่ไม่ใช่แดงนปช. จะมองการเมืองด้วยสายตาแบบไหน จะอธิบายปลอบโยนตัวเองว่านี่เป็นแค่แผนแยกกันเดินรวมกันตีอะไรก็สุดแล้วแต่ ..แต่สำหรับผมกลับนึกถึงภาษิตจีน “นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน” ขึ้นมาทันควัน เมื่อไม่มีนกให้ล่าเกาทัณฑ์ก็ไร้ค่าหมดความหมาย ตึกสร้างเสร็จก็ต้องรื้อนั่งร้านทิ้ง
ไม่อยากคิดต่อเลยว่าถ้าทักษิณและพรรคเพื่อไทยได้ครองอำนาจจริงจะมีท่าทีเช่นไรกับมวลชนคนเสื้อแดงที่บิดแบดจ์ ไม่เอา ม.112 !?? เรื่องแบบนี้คนนอกจินตนาการไปก็เท่านั้นเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นพวกบ่างยุแยงต้องปล่อยให้คนเสื้อแดงด้วยกันช่วยกันจินตนาการกันเอาเองก็แล้วกัน !!!!
ที่สุดแล้วขบวนการสีแดงที่ยิ่งใหญ่รวมถึงพรรคการเมืองที่ชื่อว่าเพื่อไทยซึ่งเคยประกาศมาหลายระลอกว่าก้าวข้ามทักษิณไปแล้วล้วนแต่เป็นคำเพ้อเจ้อบนเวทีปราศรัยหรือในงานวิชาการเพ้อฝันเพราะคำแถลงนโยบายของทักษิณมันกระจ่างชัดเจนว่าเขาคือเถ้าแก่ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในพรรคเพื่อไทย และบนเวทีเสื้อแดง ดังนั้นต่อให้แกนนำนปช.ปากกล้าจะเคยประกาศว่าทักษิณเป็นแค่แนวร่วมหนึ่งของขบวนการคนเสื้อแดงแต่แกนนำนปช.ที่ห้าวหาญเหล่านั้นไม่เว้นแต่หมอเหวงสามีป้าธิดาก็ล้วนแต่ก้มหน้ากุมอวัยวะอยู่เบื้องหน้าทักษิณด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อันที่จริงการโฟนอินร่วมชั่วโมงของคนดูไบรอบนี้มันก็คืองานเปิดตัวนโยบายพรรคเพื่อไทยนั่นเอง นักการเมืองหรือคนสีแดงอย่าได้ปฏิเสธความเป็นจริงเรื่องนี้เสียให้เมื่อยเลยเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจะมีกรรมการบริหารพรรคคนไหนที่ลุกขึ้นมาว่า ที่ทักษิณพูดข้อ2.ข้อ3. มันยังไม่เหมาะต้องเปลี่ยนใหม่ ก็คงมีแต่คำพูดประเภทดีครับผมเหมาะสมครับนายใช้ได้ครับท่านกันระงมพรรคและก็ไม่แปลกอันใดที่คนอย่างพล.อ.ชวลิต-เสนาะ เทียนทองต้องระเห็จโบกมือลาเพราะว่าพอใกล้เลือกตั้งคนที่เคยถูกจัดวางให้ดูเสมือนมีตำแหน่งแห่งที่กลับไม่มี “อำนาจ” จริงในการต่อรองใด ๆ ทั้ง ๆ ที่การเมืองในระบบระบอบไหนก็ตามมันก็คือเกมการต่อรองจัดสรรปันส่วนอำนาจ ในเมื่อเขาหลอกให้มานั่งทำงานแต่ไม่มีพื้นที่อำนาจให้ก็โบกมือลากันดีกว่า งานนี้ทั้งบิ๊กจิ๋วและทั้งป๋าเหนาะคงจะเข้าใจดีเพราะเป็นม้าแก่ผ่านศึกมาโชกโชนย่อมรู้สัจธรรมทีฮูทีอิทในทางการเมือง ปัญหาก็คือว่าที่หัวหน้าพรรคสายบัว มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์คนนั้นที่มีประสบการณ์ถูกหักหลังทางการเมืองน้อยกว่าใครเขาอื่น
ปกหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนก่อนที่หาดหัวให้ครึ้มใจเล่นว่า “สึนามิ่ง” คงจะเป็นปกประวัติศาสตร์ในชีวิตที่เจ๊แกคงไม่อยากเก็บไว้ให้ปวดใจ เพราะเชียร์กันเหมือนจะสุดที่ไหนได้ทักษิณโผล่มารอบเดียวปกต่อไปกลายเป็นผู้หญิงขี่ม้าขาวชื่อปูยิ่งลักษณ์ไปซะแล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไรที่งานวันทักษิณโฟนอินจึงไม่มีเงาร่างของหัวหน้าพรรคสายบัวคนนี้อีกคนหนึ่ง
คำประกาศของทักษิณในวรรคจบที่ยืนยันเรื่องความจงรักภักดี ถ้ากลับเมืองไทยแล้วไม่จงรักภักดีให้พี่น้องประชาทัณฑ์ได้นั้น เป็นประโยคสำคัญที่ตอกย้ำคำสั่งห้ามแกนนำนปช.ขึ้นเวทีแดง และยิ่งตอกย้ำ “นโยบายไม่คบแดงสยาม-แดงล้มเจ้า” ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็มีร่องรอยของความไม่เข้าใจกันมาก่อน
เมื่อทักษิณประกาศอย่างนี้แดงล้มเจ้าตัวจริงอย่างเช่น ใจ อึ๊งภากรณ์ จึงออกโรงเขียนบทความเรื่อง ทักษิณกับเพื่อไทย “ไปไม่ถึง” ในเรื่องนโยบายสำหรับอนาคต แสดงความผิดหวังในตัวทักษิณ ประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมากคือบรรทัดที่เขียนว่า “ทักษิณเกือบจะไม่พูดถึงมวลชนเสื้อแดงเลย พูดถึงแต่พรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ถ้าขบวนการเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวได้คล่อง ต้องมีเสรีภาพในการรวมตัวกันและการชุมนุม ซึ่งต้องขยายไปสู่เสรีภาพแท้ในการตั้งสหภาพแรงงานและการนัดหยุดงานอีกด้วย เรื่องแบบนี้ที่เกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจและพลังให้ประชาชนทักษิณไม่พูดถึง และต้องถือว่าเป็นจุดอ่อน”
ก็จริงของเขาล่ะครับเพราะงานนี้เถ้าแก่ใหญ่จดจ่อแต่ปี่ฆ้องกลองเลือกตั้งไม่ได้ให้น้ำหนักความสำคัญกับมวลชนคนเสื้อแดงเลยเหมือนกับพยายามกันพรรคและตัวเองออกห่างจากกิจกรรมการเคลื่อนไหวของคนในขบวนการสีแดงด้วยซ้ำไป การเลือกตั้งรอบนี้จึงเป็นเสมือนกับการคัดสรรแบ่งเกรดแบ่งชั้นแบ่งกลุ่มขบวนการสีแดงที่เขาว่ามันหลากหลายสารพัดสาระเพคราวนี้แหละที่จะได้จัดแบ่งกันให้ชัดเจนเห็น ๆ
เริ่มจากแดงสยาม วันที่สุรชัย แซ่ด่านถูกจับเป็นวันปล่อยตัว 7 นปช. ต่อจากนั้นก็มีเหตุการณ์การ์ดนปช.จับกุมสาวเสื้อแดงที่ไปแจกใบปลิวไม่เอาม.112 ส่งให้ตำรวจเหตุการณ์ครั้งนั้นสะเทือนมวลชนแดงอยู่พอสมควรแต่ที่ไหนได้ แดงสยามเดินตามรอยเสธ.แดง เด๊ะ ๆ ตรงที่ถึงมึงไม่เอากูแต่กูก็ยังจะเอามึง ขนาดในบทความของใจ อึ๊งภากรณ์ที่วิจารณ์ทักษิณเละเทะยังไงก็ยังต้องยอมรับว่ายังจะต้องเลือกพรรคเพื่อไทย โหนขบวนแดงเถ้าแก่ต่อไปแม้ว่าเขาจะไม่ใยดีก็ตาม
ในบทความเขียนไว้ว่า... “คนเสื้อแดงคงต้องกัดฟันเลือกพรรคเพื่อไทยในปีนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องคิดหนักต่อไปว่าเราจะพัฒนาการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงอย่างไร ในรูปแบบที่อิสระจากพรรคเพื่อไทย” แปลแบบไทย ๆ ให้ตรงตัวก็คือ แดงสายนี้ยังต้องอาศัยร่มเงาแดงเถ้าแก่ใหญ่แต่ก็มีความฝันของเสรีชนอิสรชนอยู่ปลายทาง (ตอนนี้ยังไม่เสรีว่างั้น-ฮา! )
อาการกล้ำกลืนกินน้ำใต้ศอก มึงไม่เอากูแต่ก็ยังรักมึงในระหว่างขบวนการสีแดงยังสะท้อนออกมาในกรณีของแกนนอน เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนการรวมพลคนเสื้อแดงของบ.ก.ลายจุด (ซึ่งจัดประจำวันที่ 10,19 ของทุกเดือน) ก็มีป้ายไม่เอาม. 112 หรากลางขบวนแดง อยากรู้จริง ๆ ว่าในการแถลงข่าวพรรคเพื่อไทย การปราศรัยหาเสียงใด ๆ การ์ดของพรรคเพื่อไทยจะอนุญาตให้คนเสื้อแดงกลุ่มนี้ไปถือป้ายแบบนั้นหรือไม่ เชื่อขนมกินเลยว่าคงจะถูกจับส่งตำรวจแบบที่เคยเกิดอย่างแน่นอนและคงไม่มีคนเสื้อแดงสายพรรคเพื่อไทย สายนปช.โผล่หน้าไปช่วยให้เถ้าแก่ด่าอย่างแน่นอน
มองในภาพใหญ่เรื่องแบบนี้มันไม่ได้แปลกประหลาดอะไรในมุมของพัฒนาการขบวนการทางสังคมเพราะการที่มวลชนมารวมกันมาก ๆ กลายเป็นองค์กรเครือข่ายและขบวนการย่อมมีเหตุปัจจัยในแต่ละช่วงเวลาในยุคหนึ่งนักวิชาการที่วิพากษ์สถาบันกษัตริย์อย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเดินเข้าออกหลังเวทีเสื้อแดงนปช. ถ่ายรูปคู่กับจตุพร กับใครต่อใครเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแดงนปช. แต่พอมาวันนี้กลับมาต้องเปิดห้องแถลงข่าวโดยไม่มีแดงนปช. แดงพรรคเพื่อไทยเข้ามาช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่กระแสฮึ่ม ๆ ตบเท้าหรือการประกาศเอาหมาออกจากปากคนที่เกิดขึ้นในนับจากสงกรานต์เป็นต้นมามันก็เกิดจากการปราศัยบนเวทีของจตุพร พรหมพันธุ์เป็นปฐม
คนเสื้อแดงกลุ่มที่ไม่ใช่แดงนปช. จะมองการเมืองด้วยสายตาแบบไหน จะอธิบายปลอบโยนตัวเองว่านี่เป็นแค่แผนแยกกันเดินรวมกันตีอะไรก็สุดแล้วแต่ ..แต่สำหรับผมกลับนึกถึงภาษิตจีน “นกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน” ขึ้นมาทันควัน เมื่อไม่มีนกให้ล่าเกาทัณฑ์ก็ไร้ค่าหมดความหมาย ตึกสร้างเสร็จก็ต้องรื้อนั่งร้านทิ้ง
ไม่อยากคิดต่อเลยว่าถ้าทักษิณและพรรคเพื่อไทยได้ครองอำนาจจริงจะมีท่าทีเช่นไรกับมวลชนคนเสื้อแดงที่บิดแบดจ์ ไม่เอา ม.112 !?? เรื่องแบบนี้คนนอกจินตนาการไปก็เท่านั้นเพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นพวกบ่างยุแยงต้องปล่อยให้คนเสื้อแดงด้วยกันช่วยกันจินตนาการกันเอาเองก็แล้วกัน !!!!