นวนิยายไทยนั้น แม้จะมีเนื้อที่หาเพื่อความบันเทิงและสะท้อนสังคมอยู่ตามนัยยะของแต่ละยุคสมัย แต่เนื้อหาเหล่านั้นเมื่อผู้อ่านสร้างจินตนาการด้วยตัวเองแล้วก็ขึ้นต่อประสบการณ์ที่ตนประสบมาเองหรือเคยเห็น ไม่ก็ได้ยินได้ฟังมา
ถือว่าไม่เลวร้ายนัก
มาเลวร้ายในระดับคลาสสิกแบบซาดิสต์จริงๆ ก็เวลาเอาสร้างเป็นละครทีวีนี้แหละครับ
ละครไทยมีบททารุณกรรม รุนแรงระหว่างชนชั้น รุนแรงระหว่างผู้ดีกับไพร่ นายทุนกับกรรมกร รวมทั้งเด็กกับผู้ใหญ่ ชายกับหญิง หลายเรื่องมีการข่มขืน บังคับใช้คนเยี่ยงทาสและอะไรต่างๆ อีกมากมาย
หลายเรื่องที่ผมเคยดูมา ไม่ว่าดาวพระศุกร์, พริกไทยกับใบข้าว, ดงผู้ดี, จำเลยรัก, อุ้มรัก ฯลฯ ล้วนมีภาพไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ใน ดาวพระศุกร์ ภาพทารุณกรรมระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ การข่มขืน ผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกเหยียบย่ำ การกดขี่ทางชนชั้น แม้แต่คนใช้ชั้นเดียวกันก็กดขี่กันเอง
ใน ดงผู้ดี ของ บุษยมาส แต่งไว้นานแล้ว เป็นละครทีวีช่อง 3 ภาพทารุณในช่วงแรกและหลายๆ ตอน เด็กซึ่งเป็นตัวละครเอก หรือเป็นนางเอกชื่อ “ขม” โดนทั้งตี ด่าว่าด้วยถ้อยคำสถุลถ่อยจากผู้ใหญ่ แม้แต่จากเด็กวัยเดียวกันซึ่งเป็นเพื่อนโตมาด้วยกัน
เด็กคนนี้ถูกกลั่นแกล้ง และกระทำอย่างไร้ความยุติธรรม เฆี่ยนตี ถูกผู้ใช้อำนาจบังคับให้โดนตีอย่างรุนแรงทั้งที่โดนรังแกก่อน
นี่เป็นเหตุผลที่ผมเรียกร้องให้องค์กรเด็กและสตรีที่มีอยู่ หันมาให้ความสนใจมากที่สุด ว่าจะต้องประท้วงและเรียกร้องให้มีการเซ็นเซอร์ขั้นเด็กขาด มิให้มีการเผยแพร่ภาพที่รุนแรงในครอบครัวที่กดขี่ เหยียบย่ำสตรีและเด็กตลอดจนผู้เยาว์ทั้งปวง
กองเซ็นเซอร์ควรจะระงับการเผยแพร่ โดยให้มีการเซนเซอร์ตั้งแต่การเขียนบทซึ่งเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ฉากหรือการกล่าวถึงการข่มขืนเช่นกัน ควรละเว้น ลำพังการข่มขืนที่ปรากกฏทุกวัน ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มากเกินไปแล้ว
ไม่จำเป็นเลยที่เราต้องถูกตอกย้ำในละครทางโทรทัศน์ให้ดูเป็นเรื่องปกติธรรมอีก
ปัจจุบันมีพวกบ้ากามที่ยังลอยนวลคอยหาโอกาสข่มขืนคนอยู่ทุกเวลา ยามที่พวกมันหาทีเผลอได้
ดังนั้นกองเซนเซอร์ควรตระหนักถึงความจริงข้อนี้ จะปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้ หากจะอุปมาว่าละครเป็นการแสดงอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นความจริงก็ย่อมได้ แต่การใช้ความบันเทิงเช่นนี้ มันเหมือนยาพิษหยิบยื่นให้กับสังคมได้เสพย์ติด และเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมมีคนไทยนิยมละครทีวีประเภทนี้มาก และละครแบบนี้ได้รับการสนับสนุน หรือสปอนเซอร์รายใหญ่ๆ เกือบทั้งหมด
เรื่องนี้จึงสรุปไม่ได้ มีอย่างเดียวที่สรุปได้ก็คือคำว่า
ละคร “น้ำเน่า” เน่าก็เพราะเนื้อหาที่มาจากความอัปลักษณ์จากความทารุณกรรม หลายๆ อย่างที่รวมๆ กันดังกล่าวแล้ว
สมมติว่าถ้าเราแบนหรือเซ็นเซอร์ฉากอุบาทว์เหล่านั้นไปจนหมดแล้ว ละครจะหมดสนุกหรือ?
คำตอบก็คงจะไม่ละครับ
ละครไทยก็จะยังคงอยู่ในความนิยมต่อไป แต่จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นอีก
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น มิใช่ว่าต้องการที่จะมารณรงค์ต่อต้านละครไทยทุกเรื่อง
ละครไทยหลายเรื่อง ละเว้นที่จะมีฉากอุบาทว์ แต่ก็ยังคงอยู่ในทอปเรตติ้ง ไม่เสียสปอนเซอร์ใหญ่ๆ ดังที่เราคิด
ผมคิดว่าพัฒนาการของละครไทย น่าจะมีอนาคตที่ดีและหากเราตัดเรื่องที่วนอยู่กับความอิจฉาริษยา การเง้างอน และความซ้ำซากที่พระเอกกับนางเอกต้องเกลียดกันก่อนที่จะกลับมารักกันออกไปเสียก่อน ก็จะหันไปใช้วิธีการอื่นที่ดีกว่านี้
นอกจากนั้น ละครไทยควรจัดทำแบบ series ก็ได้ แบบจบในตอนเดียว ไม่ใช่ว่าเราจะทำแบบฝรั่ง แต่การที่ผมคิดว่าเราให้จบในตอนเดียว เพราะเราหาพล็อตเรื่องได้มากขึ้น
และถ้าจะเป็นseries ที่ต่อเนื่องแบบยาวๆ โดยมี Climax ชนกับ climax ให้ตื่นเต้นได้ตลอด series ก็จะมีความสมบูรณ์และดึงคนดูได้ต่อเนื่อง
อีกทั้งจะยังได้แนะนำดาราให้เกิดความหลากหลายมากกว่านี้ด้วย
ผมจึงอยากสรุปว่า ละครทีวีไทยมีโอกาสก้าวหน้าและพัฒนาทั้งคุณภาพและปริมาณไปในทิศทางที่ดี เรายังมีโอกาสผลิต และพัฒนาดาราที่มีคุณภาพอีกมาก
ขอให้โชคดีก็แล้วกัน เพราะลำพังการพัฒนาดูในภาพอย่างเดียว แต่อับโชคคงช่วยอะไรไม่ได้มากละครับ
ถือว่าไม่เลวร้ายนัก
มาเลวร้ายในระดับคลาสสิกแบบซาดิสต์จริงๆ ก็เวลาเอาสร้างเป็นละครทีวีนี้แหละครับ
ละครไทยมีบททารุณกรรม รุนแรงระหว่างชนชั้น รุนแรงระหว่างผู้ดีกับไพร่ นายทุนกับกรรมกร รวมทั้งเด็กกับผู้ใหญ่ ชายกับหญิง หลายเรื่องมีการข่มขืน บังคับใช้คนเยี่ยงทาสและอะไรต่างๆ อีกมากมาย
หลายเรื่องที่ผมเคยดูมา ไม่ว่าดาวพระศุกร์, พริกไทยกับใบข้าว, ดงผู้ดี, จำเลยรัก, อุ้มรัก ฯลฯ ล้วนมีภาพไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ใน ดาวพระศุกร์ ภาพทารุณกรรมระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ การข่มขืน ผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกเหยียบย่ำ การกดขี่ทางชนชั้น แม้แต่คนใช้ชั้นเดียวกันก็กดขี่กันเอง
ใน ดงผู้ดี ของ บุษยมาส แต่งไว้นานแล้ว เป็นละครทีวีช่อง 3 ภาพทารุณในช่วงแรกและหลายๆ ตอน เด็กซึ่งเป็นตัวละครเอก หรือเป็นนางเอกชื่อ “ขม” โดนทั้งตี ด่าว่าด้วยถ้อยคำสถุลถ่อยจากผู้ใหญ่ แม้แต่จากเด็กวัยเดียวกันซึ่งเป็นเพื่อนโตมาด้วยกัน
เด็กคนนี้ถูกกลั่นแกล้ง และกระทำอย่างไร้ความยุติธรรม เฆี่ยนตี ถูกผู้ใช้อำนาจบังคับให้โดนตีอย่างรุนแรงทั้งที่โดนรังแกก่อน
นี่เป็นเหตุผลที่ผมเรียกร้องให้องค์กรเด็กและสตรีที่มีอยู่ หันมาให้ความสนใจมากที่สุด ว่าจะต้องประท้วงและเรียกร้องให้มีการเซ็นเซอร์ขั้นเด็กขาด มิให้มีการเผยแพร่ภาพที่รุนแรงในครอบครัวที่กดขี่ เหยียบย่ำสตรีและเด็กตลอดจนผู้เยาว์ทั้งปวง
กองเซ็นเซอร์ควรจะระงับการเผยแพร่ โดยให้มีการเซนเซอร์ตั้งแต่การเขียนบทซึ่งเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ฉากหรือการกล่าวถึงการข่มขืนเช่นกัน ควรละเว้น ลำพังการข่มขืนที่ปรากกฏทุกวัน ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ก็มากเกินไปแล้ว
ไม่จำเป็นเลยที่เราต้องถูกตอกย้ำในละครทางโทรทัศน์ให้ดูเป็นเรื่องปกติธรรมอีก
ปัจจุบันมีพวกบ้ากามที่ยังลอยนวลคอยหาโอกาสข่มขืนคนอยู่ทุกเวลา ยามที่พวกมันหาทีเผลอได้
ดังนั้นกองเซนเซอร์ควรตระหนักถึงความจริงข้อนี้ จะปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้ หากจะอุปมาว่าละครเป็นการแสดงอย่างหนึ่งที่ไม่เป็นความจริงก็ย่อมได้ แต่การใช้ความบันเทิงเช่นนี้ มันเหมือนยาพิษหยิบยื่นให้กับสังคมได้เสพย์ติด และเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสังคมมีคนไทยนิยมละครทีวีประเภทนี้มาก และละครแบบนี้ได้รับการสนับสนุน หรือสปอนเซอร์รายใหญ่ๆ เกือบทั้งหมด
เรื่องนี้จึงสรุปไม่ได้ มีอย่างเดียวที่สรุปได้ก็คือคำว่า
ละคร “น้ำเน่า” เน่าก็เพราะเนื้อหาที่มาจากความอัปลักษณ์จากความทารุณกรรม หลายๆ อย่างที่รวมๆ กันดังกล่าวแล้ว
สมมติว่าถ้าเราแบนหรือเซ็นเซอร์ฉากอุบาทว์เหล่านั้นไปจนหมดแล้ว ละครจะหมดสนุกหรือ?
คำตอบก็คงจะไม่ละครับ
ละครไทยก็จะยังคงอยู่ในความนิยมต่อไป แต่จะมีคุณภาพที่ดีขึ้นอีก
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น มิใช่ว่าต้องการที่จะมารณรงค์ต่อต้านละครไทยทุกเรื่อง
ละครไทยหลายเรื่อง ละเว้นที่จะมีฉากอุบาทว์ แต่ก็ยังคงอยู่ในทอปเรตติ้ง ไม่เสียสปอนเซอร์ใหญ่ๆ ดังที่เราคิด
ผมคิดว่าพัฒนาการของละครไทย น่าจะมีอนาคตที่ดีและหากเราตัดเรื่องที่วนอยู่กับความอิจฉาริษยา การเง้างอน และความซ้ำซากที่พระเอกกับนางเอกต้องเกลียดกันก่อนที่จะกลับมารักกันออกไปเสียก่อน ก็จะหันไปใช้วิธีการอื่นที่ดีกว่านี้
นอกจากนั้น ละครไทยควรจัดทำแบบ series ก็ได้ แบบจบในตอนเดียว ไม่ใช่ว่าเราจะทำแบบฝรั่ง แต่การที่ผมคิดว่าเราให้จบในตอนเดียว เพราะเราหาพล็อตเรื่องได้มากขึ้น
และถ้าจะเป็นseries ที่ต่อเนื่องแบบยาวๆ โดยมี Climax ชนกับ climax ให้ตื่นเต้นได้ตลอด series ก็จะมีความสมบูรณ์และดึงคนดูได้ต่อเนื่อง
อีกทั้งจะยังได้แนะนำดาราให้เกิดความหลากหลายมากกว่านี้ด้วย
ผมจึงอยากสรุปว่า ละครทีวีไทยมีโอกาสก้าวหน้าและพัฒนาทั้งคุณภาพและปริมาณไปในทิศทางที่ดี เรายังมีโอกาสผลิต และพัฒนาดาราที่มีคุณภาพอีกมาก
ขอให้โชคดีก็แล้วกัน เพราะลำพังการพัฒนาดูในภาพอย่างเดียว แต่อับโชคคงช่วยอะไรไม่ได้มากละครับ