xs
xsm
sm
md
lg

ประชาชนไม่ใช่วัวควาย : เลือกตั้งนายกฯ เทศบาลนครเชียงใหม่

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

มีความรู้สึกว่าคนทั่วประเทศสนใจการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่รอบนี้มากเป็นพิเศษ

หนึ่งคือเป็นสัญลักษณ์การชิงพื้นที่ระหว่างสี ..สองเป็นเมืองใหญ่ ..และสามความโด่งดังส่วนตัวของผู้สมัคร อย่างน้อยคนก็อยากรู้ว่าแชมป์เก่า อย่างดร.แป้ง เดือนเต็มดวง จะถูกโค่นหรือไม่ ? รวมไปถึงเจ้าของเก้าอี้ก่อนหน้าคือตระกูลบูรณุปกรณ์ที่ชูสีแดงนำหน้าจะกลับมายึดอำนาจคืนได้หรือไม่ ?

ความน่าติดตามการเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่ อาจจะรองจากเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ แต่ก็น่าสนใจกว่าการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ในอีกหลายจังหวัด ระยะหลังมานี้นักการเมืองระดับชาติให้ความสนใจองค์กรส่วนท้องถิ่นมากขึ้นทั้งที่สงขลา โคราช หรือกระทั่งที่เมืองพัทยา

งบประมาณของเทศบาลนครเชียงใหม่ทุกหมวดรวมกันปีละกว่า 1.1 พันล้านบาท บริหารพื้นที่แค่ประมาณ 40 ตร.กม. เมื่อเทียบสัดส่วนงบประมาณที่ได้กับพื้นที่และปริมาณงานแล้ว ที่นี่หอมหวานไม่แพ้ที่ไหน

ไม่รู้ล่ะ อย่างน้อยคนทั่วประเทศก็รู้จัก ดร.แป้ง รู้จักเหล่าญาติพี่น้องตระกูลบูรณุปกรณ์ที่เป็นขาใหญ่ในสนาม ย้อนไปก่อนหน้าต้องนับรวมคนดังระดับชาติอย่าง เสธ.ยอด (อย่าเรียกเสธ.ม่อยถ้าไม่อยากถูกเขกกะโหลก) และมาดาม บุษบา ยอดบางเตย เข้าไปด้วย

เป็นการเลือกตั้งที่อ่านยาก อย่านึกว่าขึ้นชื่อเชียงใหม่แล้วต้องแดงเถือกไปทั่วเพราะนี่เป็นเขตเทศบาลนครใจกลางเมือง ยอดผู้มีสิทธิ์ 106, 367 คนไม่ได้สวามิภักดิ์สีแดงทั้งหมดอย่างน้อยเมื่อ 2 ปีก่อน ดร.แป้ง โค่น บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ได้ด้วยคะแนน 2.4 หมื่นเสียงส่วน บุญเลิศ ได้เพียง 1.7 หมื่น สะท้อนภาพความเป็นตัวเมืองได้ในระดับสำคัญ

ดังนั้นบรรดาผู้สมัครทั้ง 10 เบอร์แทบไม่มีใครกล้าชูเรื่องสีใช้เป็นกลยุทธ์ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ทัศนัย บูรณุปกรณ์ หลานชายของปกรณ์-บุญเลิศ ที่จับมือกับกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประกาศตัวเป็นแดงสถานเดียวเพื่อดึงคะแนนคนเสื้อแดงมาเป็นพวก แต่นั่นเองแดงในเชียงใหม่มีหลายกลุ่ม กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 นั้นเริ่มหัวเดียวกระเทียมลีบเพราะกลุ่มอื่น ๆ ไม่อยากจับมือด้วย จึงเป็นช่องให้ผู้สมัครคนอื่น ๆ เข้าไปแทรก

ส่วนแชมป์เก่า ดร.แป้ง หันมาชูสีเขียวอ่อนในโทนรักธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเพราะผลงานก่อนหน้ามุ่งไปทางนี้อย่างน้อยก็เรื่องทางจักรยานและงานด้านการสนับสนุนประกวดต้นไม้ใหญ่ ขณะที่คนอื่น ๆ ล้วนไม่มีใครเล่นเรื่องสี การหาเสียงเริ่มชูนโยบายมากขึ้น นี่เป็นแนวโน้มที่ดีเพราะในยุคก่อนหน้าไม่มีใครชูนโยบายกันเลย

การที่ผู้สมัครเริ่มชูนโยบาย ซึ่งถือเป็นการประกาศสัญญาประชาคมเป็นนิมิตรหมายที่ดี แต่ขอโทษเถอะครับหลายนโยบายนั้นมันเป็นแค่คำประกาศเชิญชวนแบบขอไปที เพราะมันเป็นแค่หน้าที่พื้นฐาน

เช่นบอกว่าจะไม่ให้ขยะตกค้างในเมือง ก็ถูกสิครับหน้าที่ของพวกคุณคือบริหารเงินภาษีไม่ให้ขยะตกค้าง แต่ผู้สมัครทั้งหมดยังไม่มีใครกล้าแสดงวิสัยทัศน์ว่าจะจัดการปัญหาขยะทั้งระบบเช่นไร จะลดพฤติกรรมของคนให้ลดการใช้ขยะ แยกขยะ นำกลับมาใช้ อย่างไร มีเพื่อนคนหนึ่งพยายามคัดแยกขยะในบ้านแยกตั้งไว้แต่พอรถจัดเก็บมาถึงมันก็ยกเทไปรวมกัน เสียเวลา เสียแรงงานยังไม่เท่าไหร่ ..แต่เสียความรู้สึกนี่สิ !

บ้างก็บอกว่าจะทำให้เมืองสวยงาม ปลูกดอกไม้ทั่วไป การแต่งเมืองมันก็หน้าที่พื้นฐานของตำแหน่งนายกฯอยู่แล้วจะมาโหมประโคมเป็นนโยบายเลิศหรูทำไม ?

ที่ผ่านมางบดอกไม้แต่งเมืองนี่แหละที่เป็นขนมหวานของนักการเมือง ไปจ้างเอกชนเตรียมดอกไม้สีสด ๆ เอาไว้แล้วมาตั้งหมุนเวียนด้วยราคาเหมาทั้งระบบที่แพงมากจนไม่น่าเชื่อ แล้วก็ทอดทิ้งต้นไม้ใหญ่ พรรณไม้พื้นเมือง ซึ่งถือเป็นของล้ำค่าที่คนต่างถิ่นมาเยือนอยากเห็น ต้นสักใหญ่คู่เมืองริมถนนมณีนพรัตน์มีมาตั้งแต่ยุคภาพถ่าย ร.7 ทรุดโทรมไร้คนสนใจ ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าตาของเมืองได้ คนต่างถิ่นล้วนแต่อยากเห็นต้นสักในเมืองทั้งนั้น บางคนยังไม่เคยเห็นต้นสักด้วยซ้ำไป

ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องพื้นที่สาธารณะ ซึ่งรวมไปถึงฟุตบาท ท้องถนน ที่ถูกมาเฟียจัดสรรกลายเป็นแหล่งหาผลประโยชน์จนเรื้อรังกลายเป็นพื้นที่ของคนกลุ่มเดียว พื้นที่ถนนกลายเป็นของผู้ใช้รถไม่สนใจคนเดินถนนและจักรยานผิดกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศที่เจริญแล้วที่เขาให้ความสำคัญต่อคนเดินและจักรยานมากที่สุด

เทศบาลนครเชียงใหม่ เป็นแหล่งหากินในเรื่องป้าย ทำโครงการอ้างว่าเป็นป้ายบอกทาง ป้ายข้อมูล แต่ด้านหลังแทรกโฆษณาสินค้าซึ่งได้ทำเลดีและราคาถูก เวลานี้ยังมีป้ายลักษณะนี้โฆษณาเหล้ายี่ห้อหนึ่งเต็มเมือง

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือการทุจริตโกงกินซึ่งเป็นภาพลักษณ์ติดตัวของนักการเมืองส่วนใหญ่

เชื่อหรือไม่ มีคนพูดเรื่องนี้แค่ 2 คน คนแรกพรชัย เบอร์ 6 ประกาศว่าจะไม่คอรัปชั่นแต่ไม่ลงรายละเอียด อีกคน ดร.วิชัย วงศ์ไชย บอกว่าโปร่งใสไม่ซื้อเสียง ... ส่วนคนอื่น ๆ ไม่พูดเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นแม้แต่แอะเดียว !!!

ดีครับที่ประกาศแต่ขอโทษยังไม่พอ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลย !

ภาพของการเลือกตั้งรอบนี้จึงยังผสมผสานระหว่างการเมืองแบบเก่า กับการเมืองยุคใหม่ที่ผู้สมัครต้องแคร์ประชาชนมากขึ้นอย่างน้อยต้องเค้นสมองเสนอนโยบายออกมา

แล้วก็ยังมีการเมืองแบบวัวควายในการหาเสียงรอบนี้ !

โดยที่มีผู้ตั้งตัวเป็นหัวคะแนนใหญ่กุมเสียงมาก ๆ ทั้งที่เป็นนักการเมืองเก่า และที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม มีคนอยู่ในมือที่ชี้นำได้จำนวนหนึ่งไปเสนอขายต่อรองกับผู้สมัคร หรือกระทั่งส่งนอมินีมาลงแทน ยังมีการเมืองแบบที่คนจำนวนหนึ่งพร้อมจะไปเลือกใครก็ได้ตามแต่หัวหน้าชี้นำไม่ต้องสนใจนโยบาย

พร้อม ๆ กับภาวะการเมืองแบบวัวควายที่ยังดำรงอยู่ ยังมีการเมืองแบบที่ประชาชนเข้มแข็งต้องการเป็นผู้ร่วมกำหนดชะตากรรมของเมืองตัวเอง ด้วยการพยายามรวบรวมข้อเสนอ-แนวคิดของตนไปถามต่อผู้สมัคร ถ้าตอบไม่ได้ ตอบไม่ดี ก็ค่อยตัดสินใจเลือกภายหลัง

ทราบว่ามีหลายกลุ่มที่พยายามรวบรวมข้อเสนอ-ข้อปัญหาที่เป็นเงื่อนไขของตนต่อผู้สมัคร เช่นกลุ่มชุมชนเมือง กลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้อายุ หรือประชาสังคมที่เคลื่อนไหวมานานเช่น สถาบันพัฒนาเมือง กลุ่มรักษ์บ้านรักษ์เมือง กลุ่มวัดเกต กลุ่มชมรมจักรยานฯ รวมถึงภาคีคนฮักเจียงใหม่ ที่ทำกันอยู่

จึงอยากขอเชิญชวนคนเชียงใหม่ที่สนใจข้อเสนอและแนวคิดที่ประชาชนอยากเห็นสอบถามไปยังกลุ่มต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรือไปร่วมแสดงความคิดที่เว็บบอร์ดของ ภาคีคนฮักเจียงใหม่ + ชมรมจักรยานฯ รวมถึงกลุ่ม Lanna Watch ที่ได้จัดทำขึ้นเป็นสื่อกลางที่ http://cmforum.wordpress.com

ถ้าการเมืองของประชาชนเข้มแข็ง จะมีผลต่อการคัดกรอง ดักคอ ตรวจสอบ นักการเมืองในระบบได้

การเมืองใหม่จะไปได้อยู่ที่ประชาชนเข้มแข็งครับ !
กำลังโหลดความคิดเห็น