วันพฤหัสบดีเป็นวันนัดสำหรับผมเป็นวันที่ผมรวมการนัดหมายจัดการกิจธุระทุกอย่างไปติดต่อเรื่องจำเป็น และรวมถึงการติดต่อกับเพื่อนฝูงขาประจำด้วย
เพื่อนที่ว่านี้จะเล่นกอล์ฟตามปกติทุกวันพุธ และไปทุกสนามในกรุงเทพฯ รวมทั้งออกต่างจังหวัดและก๊วนของเขามักเป็นคนที่มีอายุ เป็นเจ้าของกิจการ เช่นเจ้าของศูนย์การค้าชื่อดังรวมทั้งร้านอาหารที่มีชื่อและมีหลายสาขา
เพื่อนคนนี้เดินทางไปเรียนนิวซีแลนด์กับผม ต่อมาไปเรียนแล้วเลยทำงานที่อเมริกาได้เงินมาก จริงๆ ใช้ประสบการณ์ซ่อมรถยุโรปในอเมริกาเลยได้เงินดีเขาอยู่อเมริกานาน จนคิดจะไม่กลับ พ่อตามให้มารับมรดก เขากลับมาเป็นมหาเศรษฐีเลย
ผมเจอกับเขาทุกพฤหัส
เขาไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ไม่เอาด้วยกับทักษิณ แต่ก็คบกันคนที่ชอบพอกับคุณทักษิณหลายคน
ครั้งสุดท้ายเขาบอกผมด้วยความมั่นใจว่า คุณทักษิณนั้นหากโชคดีได้นิรโทษกรรม (หากพ้นจากคดีความต่างๆ แล้ว) แกจะไม่เล่นการเมืองอีก เพราะว่าแกจะไปทำธุรกิจระหว่างประเทศ แต่จะคงพรรคการเมืองไว้เป็นยันต์กันไม่ให้โดนรังแก เพราะบทเรียนที่ได้รับราคาแพง
ผมบอกว่าพูดเป็นเล่นไป คนเรานี่อย่าดูที่ความตั้งใจเพราะตราบใดที่มีเงินและยังมีพรรคการเมือง ก็เท่ากับยังต้องการที่จะได้อำนาจอยู่
เพื่อนแย้งว่าอำนาจเงินนั้นตั้งใครเป็นนายกรัฐมนตรีแทนก็ได้
ผมว่าไม่น่าจะจริง เพราะคนที่แทนตัวแกได้นั้น จะยอมเป็นหุ่นได้อย่างไร โดยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ หรือให้แสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าคนอื่นมันไม่สง่างามหรอก
ผมยังบอกด้วยว่า การทำธุรกิจนั้นมันแค่หน้าฉาก
ตั้งแต่แรกเมื่อคบกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง คุณทักษิณก็ฟอกตัวเองว่าเป็นคนที่มีอุดมคติเป็นพวกสมถะ แต่จริงๆ แล้วแกเป็นคนละด้านกับที่จำลอง
แล้วพวกซ้ายที่แกคบ ก็เพื่อให้มาทำงานรากหญ้า มันมีนัยยะว่าแกต้องการปักหลักลงฐานให้ซึมลึกเพื่อครองอำนาจยาวนาว และมั่นคงที่สุด
เอาเป็นว่า โดยผมสรุปว่าพรรคประชาธิปัตย์มีอายุ 50 กว่า ปีมานั้น ทำงานไม่เท่าไทยรักไทยที่คุณทักษิณทำมาแค่ปีเดียว
และคุณทักษิณทำพรรคและเป็นพรรคเดียวที่มีนโยบายเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้ และเห็นผลมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อนผมก็ยังไม่เชื่อผมสนิทใจ
แกยังเชื่อว่า แม้จะมีเหตุผลฟังขึ้นอยู่บ้าง แต่แกยังมองว่าในฐานะนักธุรกิจคุณทักษิณคงต้องหวังผลทางธุรกิจเป็นลำดับแรก
เพื่อนผมมองว่า การเมืองสำหรับคุณทักษิณเป็นแค่ของเล่นสำหรับคุณทักษิณที่เจียดเงินไปทำการเมืองเท่านั้น
และแกไม่ยอมหมดตัวไปกับการเมือง จะเห็นได้จากการโดนยึดทรัพย์ไปนับหมื่นล้าน ก็ยังมีเงินเหลือมากกว่าที่โดนยึด เอาไปลงทุนข้ามชาติได้อีก
หาไม่ทุกประเทศจะไปเชื่อได้อย่างไร
แถมการลงทุนที่แกฝอยมาแต่ละอย่าง ก็ล้วนแต่เป็นพวกเมกะโปรเจ็ต ลงทุนเป็นมูลค่าเหยียบแสนล้านบาทก็มี
ผมบอกว่า การเมืองนั้นถ้าใครถือว่าเป็นของเล่นก็เท่ากับดูถูกประชาชน
คนเราจะกลายเป็นเครื่องมือให้คนเอามาเล่นไม่ได้
ประเทศไทยไม่ใช่ของเล่น ของคนรวย เท่ากับอิสรภาพและเสรีภาพที่ซื้อหากันไม่ได้
ดังนั้นโดยนัยยะนี่ คุณทักษิณจึงไม่ใช่นักการเมืองในความหมายของผมด้วยซ้ำ
เป็นแค่นักฉวยโอกาสที่สร้างความฉิบหายไม่แต่ต่อระบบการเมือง แต่ต่อชาติบ้านเมืองด้วยซ้ำไป
ผมว่าของผมอย่างนี้แหละ
เพื่อนผมก็เลยเงียบ พูดไม่ออก และเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทัศนะคติทางการเมืองของผมกับเพื่อนนั้นต่างกัน
ผมเลยปลอบใจว่า ไม่ใช่ว่าผมเรียนและจบมาทางรัฐศาสตร์นะ แต่ผมมองจากคนธรรมดาที่มองการเมืองเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยที่คิดแบบผมด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่ความบริสุทธิ์ใจในทางการเมืองนั้น
ผมว่าหายากครับ... และจริงๆ แล้วมันไม่มี
เพื่อนที่ว่านี้จะเล่นกอล์ฟตามปกติทุกวันพุธ และไปทุกสนามในกรุงเทพฯ รวมทั้งออกต่างจังหวัดและก๊วนของเขามักเป็นคนที่มีอายุ เป็นเจ้าของกิจการ เช่นเจ้าของศูนย์การค้าชื่อดังรวมทั้งร้านอาหารที่มีชื่อและมีหลายสาขา
เพื่อนคนนี้เดินทางไปเรียนนิวซีแลนด์กับผม ต่อมาไปเรียนแล้วเลยทำงานที่อเมริกาได้เงินมาก จริงๆ ใช้ประสบการณ์ซ่อมรถยุโรปในอเมริกาเลยได้เงินดีเขาอยู่อเมริกานาน จนคิดจะไม่กลับ พ่อตามให้มารับมรดก เขากลับมาเป็นมหาเศรษฐีเลย
ผมเจอกับเขาทุกพฤหัส
เขาไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ไม่เอาด้วยกับทักษิณ แต่ก็คบกันคนที่ชอบพอกับคุณทักษิณหลายคน
ครั้งสุดท้ายเขาบอกผมด้วยความมั่นใจว่า คุณทักษิณนั้นหากโชคดีได้นิรโทษกรรม (หากพ้นจากคดีความต่างๆ แล้ว) แกจะไม่เล่นการเมืองอีก เพราะว่าแกจะไปทำธุรกิจระหว่างประเทศ แต่จะคงพรรคการเมืองไว้เป็นยันต์กันไม่ให้โดนรังแก เพราะบทเรียนที่ได้รับราคาแพง
ผมบอกว่าพูดเป็นเล่นไป คนเรานี่อย่าดูที่ความตั้งใจเพราะตราบใดที่มีเงินและยังมีพรรคการเมือง ก็เท่ากับยังต้องการที่จะได้อำนาจอยู่
เพื่อนแย้งว่าอำนาจเงินนั้นตั้งใครเป็นนายกรัฐมนตรีแทนก็ได้
ผมว่าไม่น่าจะจริง เพราะคนที่แทนตัวแกได้นั้น จะยอมเป็นหุ่นได้อย่างไร โดยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ หรือให้แสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าคนอื่นมันไม่สง่างามหรอก
ผมยังบอกด้วยว่า การทำธุรกิจนั้นมันแค่หน้าฉาก
ตั้งแต่แรกเมื่อคบกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง คุณทักษิณก็ฟอกตัวเองว่าเป็นคนที่มีอุดมคติเป็นพวกสมถะ แต่จริงๆ แล้วแกเป็นคนละด้านกับที่จำลอง
แล้วพวกซ้ายที่แกคบ ก็เพื่อให้มาทำงานรากหญ้า มันมีนัยยะว่าแกต้องการปักหลักลงฐานให้ซึมลึกเพื่อครองอำนาจยาวนาว และมั่นคงที่สุด
เอาเป็นว่า โดยผมสรุปว่าพรรคประชาธิปัตย์มีอายุ 50 กว่า ปีมานั้น ทำงานไม่เท่าไทยรักไทยที่คุณทักษิณทำมาแค่ปีเดียว
และคุณทักษิณทำพรรคและเป็นพรรคเดียวที่มีนโยบายเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้ และเห็นผลมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อนผมก็ยังไม่เชื่อผมสนิทใจ
แกยังเชื่อว่า แม้จะมีเหตุผลฟังขึ้นอยู่บ้าง แต่แกยังมองว่าในฐานะนักธุรกิจคุณทักษิณคงต้องหวังผลทางธุรกิจเป็นลำดับแรก
เพื่อนผมมองว่า การเมืองสำหรับคุณทักษิณเป็นแค่ของเล่นสำหรับคุณทักษิณที่เจียดเงินไปทำการเมืองเท่านั้น
และแกไม่ยอมหมดตัวไปกับการเมือง จะเห็นได้จากการโดนยึดทรัพย์ไปนับหมื่นล้าน ก็ยังมีเงินเหลือมากกว่าที่โดนยึด เอาไปลงทุนข้ามชาติได้อีก
หาไม่ทุกประเทศจะไปเชื่อได้อย่างไร
แถมการลงทุนที่แกฝอยมาแต่ละอย่าง ก็ล้วนแต่เป็นพวกเมกะโปรเจ็ต ลงทุนเป็นมูลค่าเหยียบแสนล้านบาทก็มี
ผมบอกว่า การเมืองนั้นถ้าใครถือว่าเป็นของเล่นก็เท่ากับดูถูกประชาชน
คนเราจะกลายเป็นเครื่องมือให้คนเอามาเล่นไม่ได้
ประเทศไทยไม่ใช่ของเล่น ของคนรวย เท่ากับอิสรภาพและเสรีภาพที่ซื้อหากันไม่ได้
ดังนั้นโดยนัยยะนี่ คุณทักษิณจึงไม่ใช่นักการเมืองในความหมายของผมด้วยซ้ำ
เป็นแค่นักฉวยโอกาสที่สร้างความฉิบหายไม่แต่ต่อระบบการเมือง แต่ต่อชาติบ้านเมืองด้วยซ้ำไป
ผมว่าของผมอย่างนี้แหละ
เพื่อนผมก็เลยเงียบ พูดไม่ออก และเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทัศนะคติทางการเมืองของผมกับเพื่อนนั้นต่างกัน
ผมเลยปลอบใจว่า ไม่ใช่ว่าผมเรียนและจบมาทางรัฐศาสตร์นะ แต่ผมมองจากคนธรรมดาที่มองการเมืองเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยที่คิดแบบผมด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่ความบริสุทธิ์ใจในทางการเมืองนั้น
ผมว่าหายากครับ... และจริงๆ แล้วมันไม่มี