การต่อรองเพื่อหาเสียงสนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอาจจะยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มีสิทธิ์ย้ายพรรคหรือไม่ เพราะตอนนี้ฝุ่นตลบและยังพลิกได้
6-7 ปีมาแล้วที่ไม่ได้เห็น ส.ส.แสดงตนว่าเป็นผู้มีเอกสิทธิ์ จะโหวตยังไงก็ได้ในฐานะตัวแทนของปวงชนชาวไทยตามที่กฎหมายท่านรับรอง เพราะก่อนหน้านี้ ส.ส. ทำตัวเสมือนทาสนายว่ายังไงก็ยอมตามหมด
ฝ่ายที่ต้อนมาได้ก็ต้องดึงไว้ให้ได้ส่วนฝ่ายที่หลุดมือไปเพียรดึงกลับ..ราคาหุ้นส.ส.ดีดเอาดีดเอา !
ล่าสุดเริ่มมีการระดมเสื้อแดงไปปิดล้อมกดดันที่บ้าน/สำนักงานของ ส.ส.พรรคพวกตัวเองที่ปันใจไม่ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย
การเจรจาต่อรองทางการเมืองก่อนเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องปกติที่การเมืองอารยะเขาทำกัน มีข้อแลกเปลี่ยน มีเงื่อนไขต่อรอง ฯลฯ หากแต่ต้องอยู่ในกรอบที่สังคมยอมรับได้หรือเรียกว่าต้องทำให้ ‘เนียน’ เท่านั้น
ไอ้การเอาเงินฟาดหัวกลับออกมาอีกทีก็พลิกลิ้นหาข้ออ้างข้าง ๆ คู ๆ เพื่อจะยกมือสวนนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรจะมีในรัฐสภาไทยอีกต่อไป
แต่นั่นเองการเมืองไทยในช่วงอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน มีทั้งแรงฉุด และแรงดึง ที่ดูแล้วมีพลังก้ำกึ่ง
จะลอกคราบได้ระดับไหน หรือจะถอยหลังลงคลอง-ถึงตอนนี้ยังยากฟันธง
การเมืองยุคหลังพันธมิตร ทำให้คนจำนวนหนึ่งมีความหวังว่าสังคมไทยจะเหมือนกับอารยะประเทศ เช่นแบบที่รัฐมนตรีมหาดไทยของกรีซยื่นใบลาออกทันทีที่ตำรวจสลายการชุมนุมแล้วยิงใส่วัยรุ่นตาย แม้ว่านายกรัฐมนตรีของเขาจะยับยั้งใบลาออกไว้ก่อนแต่นั่นได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของนักการเมืองในสังคมอารยะ
มีพลังทางสังคมจำนวนหนึ่งคาดหวังว่าการต่อรองเพื่อเลือกนายกฯ และคณะรัฐมนตรีใหม่แม้จะยืนบนฐานจำนวนส.ส.สนับสนุน แต่ที่สุดบุคลากรที่ถูกเลือกเข้ามาบริหารประเทศแทนประชาชนจะต้องได้รับการยอมรับ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่เชื่อได้ว่ามีความสามารถและทุ่มเทเพื่อประโยชน์สาธารณะ
โควตาจากมุ้งก็จริงแต่ไม่ใช่เอานักการเมืองกเฬวรากมานั่งเพียงเพื่อเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลของมันโดยไม่แยแสสาธารณะโดยรวม
รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ได้รับการยอมรับเพราะโควตาตามใจฉันแบบนี้แหละ
พลังทางสังคมจำนวนไม่น้อยหวังว่าว่าการเมืองยุคหลังพันธมิตรจะกดดันให้นักการเมืองเกิดยางอาย ก่อให้เกิดมาตรฐานทางจริยธรรมและความรับผิดชอบทางการเมืองมากขึ้น เช่น กรณีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลาออกจากตำแหน่งไว้ก่อนเพราะต้องครหา แต่ก็ดูเหมือนว่าบรรทัดฐานดังกล่าวยังคงต้องสร้างอีกระยะไม่แน่ว่าจะสำเร็จ
การจะก้าวออกจากปลักโคลนย่อมมีแรงดึงคอยเหนี่ยวเอาไว้พอสมควร
ถอนเท้าไม่ดี อาจจะเสียรองเท้าจมอยู่ในโคลนต้องมัวมางมให้เลอะเทอะอีกรอบก็ได้เช่นกัน
อย่างเช่น การยุบพรรคการเมืองด้วยกรรมการบริหารพรรคโกงเลือกตั้ง ตามหลักสามัญสำนึกแล้วสมควรที่พรรคการเมืองต้องระวังไม่ให้มีการโกงอีก ให้ถือเรื่องดังกล่าวเป็นบทเรียน
แต่นั่นเองนักการเมืองไทยเป็นพวกสายพันธุ์พิเศษสามารถหลบหลีกกฎเกณฑ์เลี่ยงบาลีได้เก่งที่สุด
การเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ได้นาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ มานั่งตำแหน่งไม่สมควรจะเรียกว่าเป็น ‘นวัตกรรมทางการเมือง’ เพราะศัพท์คำนี้หมายถึงการคิดสร้างทำสิ่งที่ดีขึ้นมาใหม่
กรรมการบริหารพรรคจะไม่เกี่ยวเลือกตั้ง มุ่งบริหารกิจการภายในเพื่อหนีเกณฑ์ยุบพรรค
กติกาบอกว่า ‘อย่าโกงมิฉะนั้นจะยุบพรรค’ แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาไม่ให้เกิดการโกงกลับฉีกข้อสอบทิ้งเขียนโจทย์ใหม่ขึ้นมาเองกลายเป็น ‘ถ้าจะโกงยังไงก็ไม่ถูกยุบพรรค’ !!!
แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีซึ่งล้วนแต่เป็นผู้นำพรรคตัวจริง แยกออกมาบัญชีหนึ่ง ส่วนกรรมการบริหารเป็นอีกกลุ่ม
นี่มันหัวหน้าพรรค หรือ ผ.อ.พรรค กันแน่ครับ !!
สมมติว่า ประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลได้ ต่อจากนี้ไปตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นใครกันแน่ หากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ไม่ได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นส.ส.ก็สมควรได้รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านซึ่งทุกคนก็รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นหัวหน้าตัวจริง
เป็นแค่ประมุขอุปโลกน์ !!!
อย่าลืมว่าตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯ มาจากการโปรดเกล้าฯ ให้กับเบอร์ 1 ของพรรคการเมืองฟากที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล .. นี่เป็นประเพณีที่เราลอกแบบมาจากประเทศประชาธิปไตยอารยะ
ไม่อยากคิดเลยว่าต่อไปอาจจะมีการเสนอทูลเกล้าฯ ตั้งหัวหน้าฝ่ายค้านอุปโลกน์ !!
ทูตานุทูตจะมาเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการก็ไปที่ประมุขอุปโลกน์ แต่จะหารือสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือไปสนทนาหาข้อมูลต้องไปนัดหมายกับหัวหน้าตัวจริงแทน
เป็นการสร้างประเพณีใหม่ที่น่าตื่นเต้นเพราะต่อไปฝรั่งมังค่าอาจจะมาศึกษาวิธีการของพรรคเพื่อไทยไปเป็นตำราสอนรัฐศาสตร์
ต่อจากนี้สื่อมวลชนจะถามเรื่องสำคัญ เชื่อขนมว่าทุกสำนักวิ่งหาหัวหน้าตัวจริง ไม่มีหรอกจะวิ่งไปถามประมุขอุปโลกน์
โดยหลักการแล้วการจะก้าวสู่ระบบการเมืองที่คาดหวัง คือการพยายามสร้างกระบวนการประชาธิปไตยที่เปิดเผยโปร่งใส มาตั้งแต่ระดับล่างสุด เช่น อบต.ประชุมอย่างเปิดเผย เปิดเผยข้อมูลโครงการตั้งแต่ระดับเทศบาล อบจ. ไปจนถึงระดับพรรคการเมือง
ก็น่าแปลกที่พรรคการเมืองยุคนี้ เริ่มตั้งพรรคก็เริ่มต้นสร้างกระบวนการอึมครึม
จนบัดนี้มีการแย่งชิงจำนวนส.ส.เพื่อตั้งรัฐบาลอย่างเปิดเผยแต่สังคมก็ยังไม่รู้เลยว่าผู้ที่จะถูกเสนอชื่อเป็นเบอร์หนึ่งของพรรคเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นชื่ออะไร !!?
สังคมไม่สนว่าใครเป็นหัวหน้า เป็นผ.อ. เป็นแคนดิเดตนายกฯ รู้แต่เพียงว่าใครเป็นเจ้าพรรค –ประหลาดแท้พัฒนาการพรรคการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 77 ปี
เอาเถอะ ! สีทนได้..รออ่านข่าวไปเรื่อย ๆ ฝ่ายไหนจะได้ส.ส.กี่เสียง ใครย้ายเข้าออก ใครจะเป็นนายกฯใหม่ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนของมัน-ย่อมอดทนรอได้
แต่ที่อดรนทนไม่ได้เลยคือ ‘อนวัตกรรม’ ว่าด้วย ‘ประมุขอุปโลกน์’ นี่แหละ
พวกคุณแก้ปัญหากฎหมายห้ามโกงเลือกตั้งด้วยวิธีการแบบนี้ – ไม่รับไม่ได้จริง ๆ !!!