หลัง 7 โมงเช้าที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน คนในแวดวงรัฐบาล รวมถึงลิ่วล้อขาเชียร์ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ พากันปรบมือดีใจกันยกใหญ่ ที่สามารถงัดอาวุธสำคัญออกมาใช้ได้สำเร็จ บ้างก็ชมเชยแกนนำที่ยกพวกไปตีพันธมิตรที่สะพานมัฆวานฯ ว่าเป็นแผนการสุดยอด ทำให้พวกตนอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบ
บ้างก็บอกว่า พวกเขาได้ขุดหลุมพรางเอาไว้ จนที่สุดพันธมิตรก็ตกอยู่ในหลุมนั้น
คนพวกนี้กำลังเข้าใจผิดครั้งสำคัญ เพราะทันทีที่พวกเขา ซึ่งหมายถึง แกนนำ นปก. และนักการเมืองในซีกรัฐบาลหลายคน ตัดสินใจนำคนออกจากสนามหลวง ไปปะทะกับ มวลชนพันธมิตรในช่วงตีหนึ่ง ของวันที่ 2 กันยายนก็หมายถึง การฆ่าตัวตายกระโดดลงไปในหลุมพรางที่ตัวเองขุด
เหตุการณ์ปะทะที่มัฆวานฯ ทำให้มีคนไทยตายและบาดเจ็บถึงเลือดเนื้อ มาจากการวางแผน จัดฉากล่วงหน้า !!
สร้างสถานการณ์รุนแรงให้เข้าเงื่อนไขเพื่อจะประกาศใช้ พรก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้ตนเองได้เปรียบ
คนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่สมควรเรียกว่าคนด้วยซ้ำไป.. นี่เป็นการกระทำของสัตว์เลือดเย็นที่ใช้ประชาชนคนไทยเพื่อนร่วมชาติผู้บริสุทธิ์ ออกมาบาดเจ็บล้มตายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกพ้อง
คนที่ตาย และ บาดเจ็บไม่ว่าจะฝ่ายรักพันธมิตรฯหรือฝ่ายรักรัฐบาล ต่างไม่ควรจะมาบาดเจ็บล้มตายเพราะการวางแผนล่วงหน้าสามานย์เช่นนี้
คุณหลอกประชาชนให้มาตาย เสียเลือดเนื้อ ... โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่อุดรธานี เพราะคนที่เจ็บและตายส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่พวกคุณเองนั่นแหละ !
ประวัติศาสตร์จะบันทึกเอาไว้อีกหน้าถึงพฤติกรรมของนักการเมืองรัฐบาล อยากจะสื่อไปถึงนักการเมืองคนที่มาจากปากน้ำ นักร้องอมฮอลล์ หมอแคน ลิ่วล้อหมอผี คอมมิวนิสต์หลงยุคฯลฯ ที่อยู่เบื้องหลังการหลอกพวกเดียวกันไปตาย เพียงเพื่อจะหาเหตุไปปราบฝ่ายตรงกันข้าม
พวกคุณเลวได้ใจจริง ๆ !
เหตุ ของการออก พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ได้มาจากความฉุกเฉินจริง แต่เป็นเหตุฉุกเฉินปรุงแต่ง ที่ผ่านการคาดเดา กำหนดไว้ล่วงหน้า
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ก็จริงอยู่ แต่ด้วยเหตุที่มา และเป้าประสงค์แอบแฝง กฎหมายดังกล่าวจึงไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ที่จะถูกบังคับใช้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกมาเพื่อบังคับใช้กับประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุปะทะในช่วงหลังเที่ยงคืนวันที่ 1 กันยายน
อ้างเหตุ นปก. แต่เอามาใช้กับ พันธมิตรฯ-อย่างนี้ก็มี !
งัดกฎหมายมาใช้โดยไม่ชอบธรรมแบบนี้ คนทั่วประเทศที่ติดตามเหตุการณ์รู้กันทั่ว มีคนค่อนประเทศที่ถูกพรรคพวกเพื่อนฝูงปลุกขึ้นมาเฝ้าดูเหตุการณ์สดผ่านโทรทัศน์ คนไทยรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง รัฐ-ตำรวจ-นักการเมือง-นปก.
สมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์เช้าวันเดียวกัน ด้วยท่วงทำนองยึดมั่นถือมั่นหลงผิดของตนเหมือนเดิม นายกรัฐมนตรีคนนี้แสดงท่าของผู้บริสุทธิ์ทั้ง ๆ ที่เลือดเปื้อนเต็มตัว
นายกรัฐมนตรีเปื้อนเลือด
รัฐบาลเปื้อนเลือด
นักการเมืองเปื้อนเลือด และ นปก. ก็เปื้อนเลือด
สังคมไทยยุคนี้ไม่มีวันยินยอมให้นักการเมืองใช้เลือดคนไทยราดรดบันไดอำนาจให้กับใครได้อีกต่อไป
จึงไม่แปลกอะไรเลยที่หลังจาก 7 โมงเช้าที่มีการประกาศกฎหมายฉุกเฉินจัดฉาก ได้มีคลื่นมหาชนหลั่งไหลไปที่ทำเนียบรัฐบาล และที่สถานีเอเอสทีวี.
ไม่มีใครกลัวกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินจัดฉากเลยของพวกคุณเลย !
เป็นเวลา 7 วันเต็มพอดี หลังจากวันเป่านกหวีดครั้งสุดท้ายของพันธมิตรฯ เวลาสัปดาห์เต็ม ๆ ที่มีเหตุการณ์ใหญ่ มีเหตุพลิกผันหลายอย่าง ผลัดกันรุกรับ แต่ที่สุดการใช้ความรุนแรงของตำรวจในคืนวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคมต่อเนื่องมาถึงการอ้างอำนาจศาลบังหน้าไปตีประชาชน ตีผู้หญิง และคนแก่
เพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับการประกาศไม่ใช้ความรุนแรงของคนที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช ที่ล้วนแต่เป็นการพูดเท็จผ่านสื่อ
สถานการณ์การเมืองไทยหลังเที่ยงคืนของวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นมา ต้องอ่านเป็นรายชั่วโมง และถือเป็นสถานการณ์ช่วงสุดท้ายของปัญหาวิกฤตการเมืองไทยรอบนี้
ขณะที่เขียนต้นฉบับ อันเป็นเวลาบ่ายของวันที่ 2 กันยายน คลื่นประชาชนยังหลั่งไหลมืดฟ้ามัวดิน แน่นทำเนียบรัฐบาล แน่นสถานีเอเอสทีวึ. และมีข่าวสารทั้งวงนอกวงใน รวมทั้งข่าวลือข่าวปล่อยจำนวนมาก
สำหรับคนที่เขียนงานเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง ช่วงแบบนี้เป็นช่วงที่เขียนยาก
หากฟันธงล่วงหน้า มีสิทธิ์หน้าแตกได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตามคอลัมน์นี้ไม่กลัวหน้าแตก
การเมืองไทยยุคใหม่ได้เปลี่ยนโฉมหน้ามากมาย เหตุที่ไม่เคยคิดจะเห็นบังเกิดมีขึ้นมากมาย ระหว่างเวลาประมาณ 100 วันมานี้ พลังของประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศแสดงออกผ่านการชุมนุมต่อเนื่องที่ยืดเยื้อที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองโลก พลังทางสังคมได้ยกระดับวัฒนธรรมและบรรทัดฐานการเมืองไทยขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอย่างชัดเจน – การเมืองภาคพลเมืองที่เป็นจริงได้บังเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างสง่างาม
สิ่งดังกล่าวล้มล้างไม่ได้ แม้จะใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ลบล้างไม่ได้หรอก !
การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้วจริง ๆ แม้นักการเมืองไทยจะพยายามใช้บรรทัดฐานและความเคยชินเดิม ๆ มาอ้าง ทู่ซี้กอดเก้าอี้ รักษาอำนาจจะทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
สังคมไทยยุคใหม่ไม่อนุญาตให้นักการเมืองอย่างสมัคร สุนทรเวช และพวกอยู่ในอำนาจได้อีกต่อไป
เหตุการณ์สลดใจที่เกิดขึ้นระหว่าง 28 สิงหาคม-2 กันยายน คือการพยายามเฮือกสุดท้ายของสมัคร สุนทรเวช
คอลัมน์นี้จึงต้องรีบบันทึกถึงนายกรัฐมนตรีคนนี้เอาไว้ ในวาระสุดท้าย ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสถานการณ์ที่การเมืองเปลี่ยนเร็วรายชั่วโมง
ขอฟันธงไม่กลัวหน้าแตก ... นี่เป็นตอนอวสานของสมัคร นายกฯเปื้อนเลือดคนนี้แล้ว – และอย่ากระพริบตาด้วยนะ.. บอกแล้วว่าการเมืองหมุนเร็ว!
บ้างก็บอกว่า พวกเขาได้ขุดหลุมพรางเอาไว้ จนที่สุดพันธมิตรก็ตกอยู่ในหลุมนั้น
คนพวกนี้กำลังเข้าใจผิดครั้งสำคัญ เพราะทันทีที่พวกเขา ซึ่งหมายถึง แกนนำ นปก. และนักการเมืองในซีกรัฐบาลหลายคน ตัดสินใจนำคนออกจากสนามหลวง ไปปะทะกับ มวลชนพันธมิตรในช่วงตีหนึ่ง ของวันที่ 2 กันยายนก็หมายถึง การฆ่าตัวตายกระโดดลงไปในหลุมพรางที่ตัวเองขุด
เหตุการณ์ปะทะที่มัฆวานฯ ทำให้มีคนไทยตายและบาดเจ็บถึงเลือดเนื้อ มาจากการวางแผน จัดฉากล่วงหน้า !!
สร้างสถานการณ์รุนแรงให้เข้าเงื่อนไขเพื่อจะประกาศใช้ พรก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้ตนเองได้เปรียบ
คนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่สมควรเรียกว่าคนด้วยซ้ำไป.. นี่เป็นการกระทำของสัตว์เลือดเย็นที่ใช้ประชาชนคนไทยเพื่อนร่วมชาติผู้บริสุทธิ์ ออกมาบาดเจ็บล้มตายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกพ้อง
คนที่ตาย และ บาดเจ็บไม่ว่าจะฝ่ายรักพันธมิตรฯหรือฝ่ายรักรัฐบาล ต่างไม่ควรจะมาบาดเจ็บล้มตายเพราะการวางแผนล่วงหน้าสามานย์เช่นนี้
คุณหลอกประชาชนให้มาตาย เสียเลือดเนื้อ ... โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่อุดรธานี เพราะคนที่เจ็บและตายส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่พวกคุณเองนั่นแหละ !
ประวัติศาสตร์จะบันทึกเอาไว้อีกหน้าถึงพฤติกรรมของนักการเมืองรัฐบาล อยากจะสื่อไปถึงนักการเมืองคนที่มาจากปากน้ำ นักร้องอมฮอลล์ หมอแคน ลิ่วล้อหมอผี คอมมิวนิสต์หลงยุคฯลฯ ที่อยู่เบื้องหลังการหลอกพวกเดียวกันไปตาย เพียงเพื่อจะหาเหตุไปปราบฝ่ายตรงกันข้าม
พวกคุณเลวได้ใจจริง ๆ !
เหตุ ของการออก พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ได้มาจากความฉุกเฉินจริง แต่เป็นเหตุฉุกเฉินปรุงแต่ง ที่ผ่านการคาดเดา กำหนดไว้ล่วงหน้า
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ก็จริงอยู่ แต่ด้วยเหตุที่มา และเป้าประสงค์แอบแฝง กฎหมายดังกล่าวจึงไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ที่จะถูกบังคับใช้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกมาเพื่อบังคับใช้กับประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุปะทะในช่วงหลังเที่ยงคืนวันที่ 1 กันยายน
อ้างเหตุ นปก. แต่เอามาใช้กับ พันธมิตรฯ-อย่างนี้ก็มี !
งัดกฎหมายมาใช้โดยไม่ชอบธรรมแบบนี้ คนทั่วประเทศที่ติดตามเหตุการณ์รู้กันทั่ว มีคนค่อนประเทศที่ถูกพรรคพวกเพื่อนฝูงปลุกขึ้นมาเฝ้าดูเหตุการณ์สดผ่านโทรทัศน์ คนไทยรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง รัฐ-ตำรวจ-นักการเมือง-นปก.
สมัคร สุนทรเวช ให้สัมภาษณ์เช้าวันเดียวกัน ด้วยท่วงทำนองยึดมั่นถือมั่นหลงผิดของตนเหมือนเดิม นายกรัฐมนตรีคนนี้แสดงท่าของผู้บริสุทธิ์ทั้ง ๆ ที่เลือดเปื้อนเต็มตัว
นายกรัฐมนตรีเปื้อนเลือด
รัฐบาลเปื้อนเลือด
นักการเมืองเปื้อนเลือด และ นปก. ก็เปื้อนเลือด
สังคมไทยยุคนี้ไม่มีวันยินยอมให้นักการเมืองใช้เลือดคนไทยราดรดบันไดอำนาจให้กับใครได้อีกต่อไป
จึงไม่แปลกอะไรเลยที่หลังจาก 7 โมงเช้าที่มีการประกาศกฎหมายฉุกเฉินจัดฉาก ได้มีคลื่นมหาชนหลั่งไหลไปที่ทำเนียบรัฐบาล และที่สถานีเอเอสทีวี.
ไม่มีใครกลัวกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินจัดฉากเลยของพวกคุณเลย !
เป็นเวลา 7 วันเต็มพอดี หลังจากวันเป่านกหวีดครั้งสุดท้ายของพันธมิตรฯ เวลาสัปดาห์เต็ม ๆ ที่มีเหตุการณ์ใหญ่ มีเหตุพลิกผันหลายอย่าง ผลัดกันรุกรับ แต่ที่สุดการใช้ความรุนแรงของตำรวจในคืนวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคมต่อเนื่องมาถึงการอ้างอำนาจศาลบังหน้าไปตีประชาชน ตีผู้หญิง และคนแก่
เพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับการประกาศไม่ใช้ความรุนแรงของคนที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช ที่ล้วนแต่เป็นการพูดเท็จผ่านสื่อ
สถานการณ์การเมืองไทยหลังเที่ยงคืนของวันที่ 1 กันยายนเป็นต้นมา ต้องอ่านเป็นรายชั่วโมง และถือเป็นสถานการณ์ช่วงสุดท้ายของปัญหาวิกฤตการเมืองไทยรอบนี้
ขณะที่เขียนต้นฉบับ อันเป็นเวลาบ่ายของวันที่ 2 กันยายน คลื่นประชาชนยังหลั่งไหลมืดฟ้ามัวดิน แน่นทำเนียบรัฐบาล แน่นสถานีเอเอสทีวึ. และมีข่าวสารทั้งวงนอกวงใน รวมทั้งข่าวลือข่าวปล่อยจำนวนมาก
สำหรับคนที่เขียนงานเกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง ช่วงแบบนี้เป็นช่วงที่เขียนยาก
หากฟันธงล่วงหน้า มีสิทธิ์หน้าแตกได้ง่าย ๆ
อย่างไรก็ตามคอลัมน์นี้ไม่กลัวหน้าแตก
การเมืองไทยยุคใหม่ได้เปลี่ยนโฉมหน้ามากมาย เหตุที่ไม่เคยคิดจะเห็นบังเกิดมีขึ้นมากมาย ระหว่างเวลาประมาณ 100 วันมานี้ พลังของประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศแสดงออกผ่านการชุมนุมต่อเนื่องที่ยืดเยื้อที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองโลก พลังทางสังคมได้ยกระดับวัฒนธรรมและบรรทัดฐานการเมืองไทยขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอย่างชัดเจน – การเมืองภาคพลเมืองที่เป็นจริงได้บังเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างสง่างาม
สิ่งดังกล่าวล้มล้างไม่ได้ แม้จะใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ลบล้างไม่ได้หรอก !
การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นหนึ่งแล้วจริง ๆ แม้นักการเมืองไทยจะพยายามใช้บรรทัดฐานและความเคยชินเดิม ๆ มาอ้าง ทู่ซี้กอดเก้าอี้ รักษาอำนาจจะทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
สังคมไทยยุคใหม่ไม่อนุญาตให้นักการเมืองอย่างสมัคร สุนทรเวช และพวกอยู่ในอำนาจได้อีกต่อไป
เหตุการณ์สลดใจที่เกิดขึ้นระหว่าง 28 สิงหาคม-2 กันยายน คือการพยายามเฮือกสุดท้ายของสมัคร สุนทรเวช
คอลัมน์นี้จึงต้องรีบบันทึกถึงนายกรัฐมนตรีคนนี้เอาไว้ ในวาระสุดท้าย ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสถานการณ์ที่การเมืองเปลี่ยนเร็วรายชั่วโมง
ขอฟันธงไม่กลัวหน้าแตก ... นี่เป็นตอนอวสานของสมัคร นายกฯเปื้อนเลือดคนนี้แล้ว – และอย่ากระพริบตาด้วยนะ.. บอกแล้วว่าการเมืองหมุนเร็ว!