สถานการณ์ในจุดที่ “ทักษิณ-พจมาน” ใกล้ถึงจุดจบน่าสนใจมาก เพราะทำให้เราท่านได้รู้เช่นเห็นชาติสันดานนักการเมืองไทยได้ชัดเจนขึ้น
นักการเมืองแบบเก่าภายใต้ประชาธิปไตยทุนสามานย์ ผูกกันด้วยผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง คนพวกนี้ลงสู่ถนนการเมืองด้วยเป้าหมาย อำนาจ+เงินตรา เพียงประการเดียว อุดมการณ์หรือหลักการประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องพูดถึง พวกเขาไม่เคยมีอยู่ในสมอง
ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากนี้พวกเขาจะดำรงตนภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมือง และ วัฒนธรรมทางการเมืองที่ยกระดับขึ้นมาอย่างไร ?
เนวิน ชิดชอบ ถูกคนพรรคเดียวกันจัดให้อยู่ในแก๊งออฟโฟร์ และคนในพรรคเดียวกันนี่เองที่ประณามเขาว่าเป็นพวกเนรคุณนายห้าง นายห้างยังไม่ตายเตรียมโลงไว้ให้ กรณีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอาการแตกภายใน ก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะแตกอย่างเป็นทางการ
เนวิน เป็นเซียนการเมืองคนหนึ่ง กระแสรับความรู้สึกไว รีบส่งทนายหน้าหอออกมาแก้ข่าวก่อนกระแสจะไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ ยืนยันว่าได้ต่อสายคุยนายใหญ่เรียบร้อย ไม่เคยเนรคุณ แถมยังตอกกลับกลุ่มตรงกันข้ามว่า ไม่เข้าใจยุทธศาสตร์ศึก ตามเกมการเมืองไม่ทัน
เรื่องเกมการเมืองก็เรื่องหนึ่งเพราะคนที่อยู่วงนอกก็ได้แค่อ่านข่าวสังเกตการณ์ไม่รู้ว่ายุทธวิธีของกลุ่มไหนดีกว่ากัน... แต่สำหรับเรื่องความซื่อสัตย์ไม่เนรคุณคนนั้นขอให้กลุ่มอีสานพัฒนา หรือแม้แต่ ทักษิณ ชินวัตรลองไปถาม บรรหาร ศิลปอาชา เป็นดีที่สุดว่า เนวิน ชิดชอบ เป็นคนแบบไหน
เนวิน อยู่เบื้องหลังคนร่วม 80 คน อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบนักการเมืองเหล่านั้นด้วยการนำกลุ่มไปสู่พื้นที่ปลอดภัย และมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในอำนาจต่อ ด้วยกลการเดินเกมแบบที่เคยทำมาตั้งแต่ช่วงปี 2535 ถือหลักไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร จำนวนเสียงเป็นเครื่องต่อรอง
อย่างไรก็ตาม แม้เนวิน จะช่ำชองในเกมการเมืองแค่ไหน แต่ก็เป็นกรอบการเมืองสามานย์แบบเก่า คนในกลุ่มของเขากี่คนแล้วที่ออกแสดงให้เห็นธาตุแท้ของนักเลือกตั้งสามานย์ทั้งคำพูดและการกระทำ คนพวกนี้อาจจะหลุดจากโซนอันตรายทางการเมืองในช่วงสั้น ๆ แต่ด้วยไม่เข้าใจสิ่งแวดล้อมของสังคมการเมืองแบบใหม่ที่ประชาชนพลเมืองได้ยกระดับตนเองขึ้นมาแล้ว
ทฤษฎีวิวัฒนาการ .. สัตว์ที่ไม่ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ มันย่อมสูญพันธุ์ไปในที่สุด
ถ้ายังเป็นแบบที่เป็นอยู่ ให้รอนับถอยหลังกับ เนวิน ชิดชอบ ไว้ได้เลย !
อีกฟากหนึ่ง – อีสานเหนือ นายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนครและพวก ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบการชุมนุม แถมด้วยการเสนอแก้ประมวลกฎหมายอาญา คนกลุ่มนี้ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไว้แล้วว่า เป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งแต่ไม่เข้าใจและไม่ศรัทธาในปรัชญาพื้นฐานประชาธิปไตย
หากลองเอาเรื่องราวที่พวกเขาทำไปเล่าคนในสังคมประชาธิปไตยอารยะ แน่นอนว่า พวกเขาจะต้องส่ายหัวเหยียดหยันในความคิดและการกระทำของ ส.ส.ไทยกลุ่มนี้
เพื่อให้การเมืองแบบเก่าล่มสลายโดยเร็ว ขอให้ จุมพฎ บุญใหญ่ และ พวก เร่งเดินหน้าแนวคิดเสนอกฎหมายดังกล่าวต่อไปเถิด อย่าได้ล่าช้า
การที่พรรคไทยรักไทยล่มสลาย และพรรคพลังประชาชนกำลังจะเดิมตามนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะ นักการเมืองโง่ดันขยันออกมาทำงานนี่แหละ จะบอกให้ !
องค์กรใดก็ตาม หากสมุนลิ่วล้อใช้ส้นตีนคิด และขยันออกเสนอหน้า มักจะพบจุดจบไม่สวยทั้งนั้น.. จุมพฎ บุญใหญ่ เข้าใจเรื่องนี้หรือเปล่า ?
.............
สถานการณ์การเมืองระยะนี้ เป็นช่วงชุลมุน-ฝุ่นตลบ
คนในช่วงชิงเดินเกมเอาตัวรอด อย่างรัฐบาลสมัครเองก็ส่งสัญญาณที่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ไปยังผู้ใหญ่ยืนยันว่า ตนสลัดจากทักษิณเต็มตัว อย่างกรณีกระทรวงการต่างประเทศที่ทิ้งโผนายห้างตั้งรัฐมนตรีใหม่ขึ้นมาเพื่อทำงานจริง ๆ ไม่เพียงเท่านั้นการโยกย้ายล่าสุด ดึงอธิบดีวีระชัย กลับกรมสนธิสัญญา แถมพ่วงด้วยแต่งตั้ง ท่านทูต ปกศักดิ์ นิลอุบล เป็นเลขานุการรมว.ต่างประเทศ
ท่านทูตปกศักดิ์ เป็นข้าราชการน้ำดี กลุ่มเดียวกับ ท่านทูต กษิต ภิรมย์ , สุรพงษ์ ชัยนาม ถ้าให้ชัดขึ้นต้องบอกว่า ท่านอดีตเอกอัครราชทูตสวีเดนท่านนี้นิยมสีเหลือง ถึงขนาดเคยปราศรัยเวทีพันธมิตรย่อยมาแล้วเมื่อปี 2549 ... ในยุครัฐบาลขิงแก่ได้ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รวมถึงประกาศคำยืนยัน ถอยสุดตัว ไม่ปะทะเด็ดขาด กับพันธมิตรฯ
นี่เป็นความพยายามด้านหนึ่ง !
แต่นั่นเอง ก็เหมือนกับช่วงฝุ่นตลบในประวัติศาสตร์แทบทุกครั้ง ที่มักจะมี มือที่มองไม่เห็น ทั้งมือใหญ่ มือเล็ก มือที่สาม และมือแส่ พยายามจะยื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์
ที่เห็นแน่ ๆ มือหนึ่ง เป็นมือของอดีตนายทหารใหญ่ ที่เข้าไปคลุกวงใน “ผู้ใหญ่” มาก ๆ ระยะหนึ่ง จนวงการยกให้เป็น “ลูกรัก” คนหนึ่ง เพิ่งจะห่างหายไปช่วงรัฐประหาร 19 กันยา เพราะก่อนหน้าดันไปเอี่ยวประโยชน์กับรัฐบาลขายชาติมากเกินไป คนกลุ่มนี้เป็นทหารธุรกิจมีความสามารถส่งตนเองให้อยู่ในแวดวงอำนาจและธุรกิจเชิงอำนาจมาโดยตลอด ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ได้เริ่มกระบวนการสอดมือเข้ามาเกี่ยว
ทำทีเป็นผู้ไกล่เกลี่ยประสานประโยชน์หาทางออกให้ชาติ ด้วยการเสนอเงื่อนไขทางลงให้กับอดีตผู้นำ ประกอบด้วยเงื่อนลี้ภัยเป็นอันดับแรก หากยังไม่ลงตัวมีข้อเสนอสุดท้ายยอมรับโทษติดคุก แต่มีเงื่อนไขเว้นลูก 2 คนเอาไว้ ทั้งนี้มีการเสนอขออภัยโทษโดยเร็ว ระยะประมาณ 1 ปี เรื่องจบ
ก็ไม่ทราบแน่ว่าการส่งทีมงานไป “ขาย” ความเห็นดังกล่าวหว่านไปทั่วมีใคร “ซื้อ” บ้างหรือยัง !!
นี่เป็นวิธีการของคนในแวดวงอำนาจเก่าที่เคยทำกันมา ... เกี้ยเซี้ย ...ฮั้วกันในกลุ่มแวดวงผู้มีอำนาจ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ยุคอำมาตย์ข้าราชการธิปไตย มาจนถึงยุคทุนสามานย์ในหน้ากากประชาธิปไตย ... ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ผลตอบแทนไม่มากน้อย ก็แค่มีโควตาในรัฐวิสาหกิจ หรือ อำนาจต่อรองกับผู้มีอำนาจรุ่นต่อ ๆ ไปเช่นที่เคยมีมาตลอดไม่ว่าใครขึ้นมามีอำนาจ
ไม่ใช่เฉพาะอดีตทหารธุรกิจกลุ่มนี้เท่านั้น ยังมี “คนกลาง” อีกหลายข่ายที่เคลื่อนไหวเจรจานัยว่าหาทางลงให้กับสถานการณ์ ทั้งแบบจริงใจและจิงโจ้
ข่าวอีกทางหนึ่ง มีการพูดคุยกันเคร่งเครียดในแวดวงทหารกลุ่มหนึ่งว่าด้วย “โมเดล” ทำรัฐประหาร อันเป็นทางออกสุดท้ายแบบไทย ๆ ที่ดำเนินมากว่า 76 ปี
ขอเถิดครับ จะต่อรองจะหาทางออกอย่างไรก็ทำกันเถิดอย่าคิดใช้การรัฐประหารมาเป็นทางออกสุดท้ายเลย การเมืองไทยเดินหน้า สังคมไทยปรับฐานและยกระดับพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนไปมากแล้ว
ขอใช้สิทธิ์พลเมืองคนหนึ่ง แสดงความเห็นส่วนตัวโดยไม่เกี่ยวกับใคร/องค์กรใดเลยว่า...ขอเถิดครับ..ผมไม่เอารัฐประหารแล้ว !!
นักการเมืองแบบเก่าภายใต้ประชาธิปไตยทุนสามานย์ ผูกกันด้วยผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง คนพวกนี้ลงสู่ถนนการเมืองด้วยเป้าหมาย อำนาจ+เงินตรา เพียงประการเดียว อุดมการณ์หรือหลักการประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องพูดถึง พวกเขาไม่เคยมีอยู่ในสมอง
ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากนี้พวกเขาจะดำรงตนภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมือง และ วัฒนธรรมทางการเมืองที่ยกระดับขึ้นมาอย่างไร ?
เนวิน ชิดชอบ ถูกคนพรรคเดียวกันจัดให้อยู่ในแก๊งออฟโฟร์ และคนในพรรคเดียวกันนี่เองที่ประณามเขาว่าเป็นพวกเนรคุณนายห้าง นายห้างยังไม่ตายเตรียมโลงไว้ให้ กรณีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอาการแตกภายใน ก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะแตกอย่างเป็นทางการ
เนวิน เป็นเซียนการเมืองคนหนึ่ง กระแสรับความรู้สึกไว รีบส่งทนายหน้าหอออกมาแก้ข่าวก่อนกระแสจะไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ ยืนยันว่าได้ต่อสายคุยนายใหญ่เรียบร้อย ไม่เคยเนรคุณ แถมยังตอกกลับกลุ่มตรงกันข้ามว่า ไม่เข้าใจยุทธศาสตร์ศึก ตามเกมการเมืองไม่ทัน
เรื่องเกมการเมืองก็เรื่องหนึ่งเพราะคนที่อยู่วงนอกก็ได้แค่อ่านข่าวสังเกตการณ์ไม่รู้ว่ายุทธวิธีของกลุ่มไหนดีกว่ากัน... แต่สำหรับเรื่องความซื่อสัตย์ไม่เนรคุณคนนั้นขอให้กลุ่มอีสานพัฒนา หรือแม้แต่ ทักษิณ ชินวัตรลองไปถาม บรรหาร ศิลปอาชา เป็นดีที่สุดว่า เนวิน ชิดชอบ เป็นคนแบบไหน
เนวิน อยู่เบื้องหลังคนร่วม 80 คน อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบนักการเมืองเหล่านั้นด้วยการนำกลุ่มไปสู่พื้นที่ปลอดภัย และมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในอำนาจต่อ ด้วยกลการเดินเกมแบบที่เคยทำมาตั้งแต่ช่วงปี 2535 ถือหลักไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร จำนวนเสียงเป็นเครื่องต่อรอง
อย่างไรก็ตาม แม้เนวิน จะช่ำชองในเกมการเมืองแค่ไหน แต่ก็เป็นกรอบการเมืองสามานย์แบบเก่า คนในกลุ่มของเขากี่คนแล้วที่ออกแสดงให้เห็นธาตุแท้ของนักเลือกตั้งสามานย์ทั้งคำพูดและการกระทำ คนพวกนี้อาจจะหลุดจากโซนอันตรายทางการเมืองในช่วงสั้น ๆ แต่ด้วยไม่เข้าใจสิ่งแวดล้อมของสังคมการเมืองแบบใหม่ที่ประชาชนพลเมืองได้ยกระดับตนเองขึ้นมาแล้ว
ทฤษฎีวิวัฒนาการ .. สัตว์ที่ไม่ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ มันย่อมสูญพันธุ์ไปในที่สุด
ถ้ายังเป็นแบบที่เป็นอยู่ ให้รอนับถอยหลังกับ เนวิน ชิดชอบ ไว้ได้เลย !
อีกฟากหนึ่ง – อีสานเหนือ นายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนครและพวก ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบการชุมนุม แถมด้วยการเสนอแก้ประมวลกฎหมายอาญา คนกลุ่มนี้ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไว้แล้วว่า เป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งแต่ไม่เข้าใจและไม่ศรัทธาในปรัชญาพื้นฐานประชาธิปไตย
หากลองเอาเรื่องราวที่พวกเขาทำไปเล่าคนในสังคมประชาธิปไตยอารยะ แน่นอนว่า พวกเขาจะต้องส่ายหัวเหยียดหยันในความคิดและการกระทำของ ส.ส.ไทยกลุ่มนี้
เพื่อให้การเมืองแบบเก่าล่มสลายโดยเร็ว ขอให้ จุมพฎ บุญใหญ่ และ พวก เร่งเดินหน้าแนวคิดเสนอกฎหมายดังกล่าวต่อไปเถิด อย่าได้ล่าช้า
การที่พรรคไทยรักไทยล่มสลาย และพรรคพลังประชาชนกำลังจะเดิมตามนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะ นักการเมืองโง่ดันขยันออกมาทำงานนี่แหละ จะบอกให้ !
องค์กรใดก็ตาม หากสมุนลิ่วล้อใช้ส้นตีนคิด และขยันออกเสนอหน้า มักจะพบจุดจบไม่สวยทั้งนั้น.. จุมพฎ บุญใหญ่ เข้าใจเรื่องนี้หรือเปล่า ?
.............
สถานการณ์การเมืองระยะนี้ เป็นช่วงชุลมุน-ฝุ่นตลบ
คนในช่วงชิงเดินเกมเอาตัวรอด อย่างรัฐบาลสมัครเองก็ส่งสัญญาณที่ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ไปยังผู้ใหญ่ยืนยันว่า ตนสลัดจากทักษิณเต็มตัว อย่างกรณีกระทรวงการต่างประเทศที่ทิ้งโผนายห้างตั้งรัฐมนตรีใหม่ขึ้นมาเพื่อทำงานจริง ๆ ไม่เพียงเท่านั้นการโยกย้ายล่าสุด ดึงอธิบดีวีระชัย กลับกรมสนธิสัญญา แถมพ่วงด้วยแต่งตั้ง ท่านทูต ปกศักดิ์ นิลอุบล เป็นเลขานุการรมว.ต่างประเทศ
ท่านทูตปกศักดิ์ เป็นข้าราชการน้ำดี กลุ่มเดียวกับ ท่านทูต กษิต ภิรมย์ , สุรพงษ์ ชัยนาม ถ้าให้ชัดขึ้นต้องบอกว่า ท่านอดีตเอกอัครราชทูตสวีเดนท่านนี้นิยมสีเหลือง ถึงขนาดเคยปราศรัยเวทีพันธมิตรย่อยมาแล้วเมื่อปี 2549 ... ในยุครัฐบาลขิงแก่ได้ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รวมถึงประกาศคำยืนยัน ถอยสุดตัว ไม่ปะทะเด็ดขาด กับพันธมิตรฯ
นี่เป็นความพยายามด้านหนึ่ง !
แต่นั่นเอง ก็เหมือนกับช่วงฝุ่นตลบในประวัติศาสตร์แทบทุกครั้ง ที่มักจะมี มือที่มองไม่เห็น ทั้งมือใหญ่ มือเล็ก มือที่สาม และมือแส่ พยายามจะยื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์
ที่เห็นแน่ ๆ มือหนึ่ง เป็นมือของอดีตนายทหารใหญ่ ที่เข้าไปคลุกวงใน “ผู้ใหญ่” มาก ๆ ระยะหนึ่ง จนวงการยกให้เป็น “ลูกรัก” คนหนึ่ง เพิ่งจะห่างหายไปช่วงรัฐประหาร 19 กันยา เพราะก่อนหน้าดันไปเอี่ยวประโยชน์กับรัฐบาลขายชาติมากเกินไป คนกลุ่มนี้เป็นทหารธุรกิจมีความสามารถส่งตนเองให้อยู่ในแวดวงอำนาจและธุรกิจเชิงอำนาจมาโดยตลอด ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ได้เริ่มกระบวนการสอดมือเข้ามาเกี่ยว
ทำทีเป็นผู้ไกล่เกลี่ยประสานประโยชน์หาทางออกให้ชาติ ด้วยการเสนอเงื่อนไขทางลงให้กับอดีตผู้นำ ประกอบด้วยเงื่อนลี้ภัยเป็นอันดับแรก หากยังไม่ลงตัวมีข้อเสนอสุดท้ายยอมรับโทษติดคุก แต่มีเงื่อนไขเว้นลูก 2 คนเอาไว้ ทั้งนี้มีการเสนอขออภัยโทษโดยเร็ว ระยะประมาณ 1 ปี เรื่องจบ
ก็ไม่ทราบแน่ว่าการส่งทีมงานไป “ขาย” ความเห็นดังกล่าวหว่านไปทั่วมีใคร “ซื้อ” บ้างหรือยัง !!
นี่เป็นวิธีการของคนในแวดวงอำนาจเก่าที่เคยทำกันมา ... เกี้ยเซี้ย ...ฮั้วกันในกลุ่มแวดวงผู้มีอำนาจ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ยุคอำมาตย์ข้าราชการธิปไตย มาจนถึงยุคทุนสามานย์ในหน้ากากประชาธิปไตย ... ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ผลตอบแทนไม่มากน้อย ก็แค่มีโควตาในรัฐวิสาหกิจ หรือ อำนาจต่อรองกับผู้มีอำนาจรุ่นต่อ ๆ ไปเช่นที่เคยมีมาตลอดไม่ว่าใครขึ้นมามีอำนาจ
ไม่ใช่เฉพาะอดีตทหารธุรกิจกลุ่มนี้เท่านั้น ยังมี “คนกลาง” อีกหลายข่ายที่เคลื่อนไหวเจรจานัยว่าหาทางลงให้กับสถานการณ์ ทั้งแบบจริงใจและจิงโจ้
ข่าวอีกทางหนึ่ง มีการพูดคุยกันเคร่งเครียดในแวดวงทหารกลุ่มหนึ่งว่าด้วย “โมเดล” ทำรัฐประหาร อันเป็นทางออกสุดท้ายแบบไทย ๆ ที่ดำเนินมากว่า 76 ปี
ขอเถิดครับ จะต่อรองจะหาทางออกอย่างไรก็ทำกันเถิดอย่าคิดใช้การรัฐประหารมาเป็นทางออกสุดท้ายเลย การเมืองไทยเดินหน้า สังคมไทยปรับฐานและยกระดับพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนไปมากแล้ว
ขอใช้สิทธิ์พลเมืองคนหนึ่ง แสดงความเห็นส่วนตัวโดยไม่เกี่ยวกับใคร/องค์กรใดเลยว่า...ขอเถิดครับ..ผมไม่เอารัฐประหารแล้ว !!