xs
xsm
sm
md
lg

จะมีจลาจลนองเลือดมั้ย ?

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

เมื่อคืนและเช้านี้มีโทรศัพท์เข้ามาหลายสายสอบถามสถานการณ์ที่มีข่าวว่าจะนองเลือด หรือ จลาจล

“ จะมีจลาจลนองเลือดมั้ย ? ”

เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวที่ร่ำลือกันก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาคุณหญิง พจมาน ชินวัตร และก่อนที่จะมีการระดมพันธมิตรฯ ครั้งสำคัญเสมือนซ้อมใหญ่ก่อนการเป่านกหวีดครั้งสุดท้าย

กลุ่มที่ร่ำลือกันมากที่สุดคือกลุ่มหมอ ถึงขนาดที่มีการตักเตือนซึ่งกันและกันและให้เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยเหลือทางการแพทย์สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเอาไว้ให้พร้อม

ข่าวที่ร่ำลือครั้งนี้เป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าตอนที่พันธมิตรฯ เป่านกหวีดใหญ่บุกทำเนียบเมื่อ 20 มิถุนายนโดยครั้งนั้นลือว่าจะมีการใช้กำลังทหารและอาจมีรัฐประหารเกิดขึ้น

ผมไม่สามารถจะตอบเพื่อนฝูงเหล่านั้นได้ ไม่ใช่ว่าหยิ่งหรืออุบไต๋อะไรเลย ก็เพราะไม่รู้จริง ๆ เหมือนกับประชาชนพลเมืองทั้งหลายที่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์และดูที.วี.นั่นแหละครับ

เท่าที่รู้และตอบได้ คือ

หนึ่ง – ในระหว่างสถานการณ์ไม่ปกติ ข่าวลือ และ ข่าวปล่อยอย่างจงใจ เกิดขึ้นโดยทั่วไปถือเป็นปกติก็ว่าได้ เมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็เกิดข่าวลือสับสนแบบนี้ขึ้น เช่น จปร.12 ยกป่าหวายเข้ากรุงฯ ไปปะทะรุ่น 5 ฯลฯ หรือเมื่อช่วงปี 2549 ก็เช่นกัน ข่าวลือและข่าวปล่อยเกิดขึ้นปกติ นักข่าวหลายคนก็พลาดกับเรื่องข่าวลือที่ไม่ได้ตรวจสอบแบบนี้มาเยอะ

สอง – มีการระดมชาวบ้านจากต่างจังหวัดเข้ากรุงมาจริงอันนี้ยืนยัน ส่วนหนึ่งมาให้กำลังใจครอบครัวชินวัตรที่ศาลอาญา ส่วนจะอยู่ต่อเพื่อให้กำลังใจส.ส.พรรคพลังประชาชนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะมีการหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันมาแบบไหน ก็ต้องไปถามผู้บงการใหญ่ลูกเจ้าของโรงโม่บุรีรัมย์กันเอง

สาม – การเคลื่อนไหวของ นปก.ในเมืองหลวงขาดพลังมาตั้งแต่ต้น ไม่เหมือนปี 2550 ที่ได้การอัดฉีดระดมหนุนช่วยทั้งเงินจากนักการเมืองใหญ่และคนจากลิ่วล้อในปริมณฑล อาทิ นนทบุรี นครปฐม ม็อบสนามหลวงรอบนี้ไม่มีท่อต่อ ปล่อยให้พวกที่อยากเสนอหน้าลงขันกันตามประสา เป็นการจัดม็อบตามยถากรรม ส่วนในต่างจังหวัดเป็นเรื่องของนักการเมืองเจ้าถิ่นกลัวเสียพื้นที่ โดยเฉพาะหัวหน้ามุ้งที่คิดเป็นใหญ่หนึ่งเดียวในพรรค - ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ใหญ่จาก “กุนซือนายใหญ่” ของแท้

อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน นปก.และจำนวนมวลชนโพกผ้าแดงยังเป็นอาวุธที่จำเป็นของการขับเคลื่อนการเมือง การระดมรอบนี้จึงอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี มุ่งสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญเป็นหลัก กันพื้นที่หน้ารัฐสภาไม่ให้พันธมิตรฯเข้ามากดดันได้ และสร้างภาพลักษณ์มีประชาชนสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญให้เผยแพร่ออกไป ถ่วงดุลพื้นที่ข่าวมิให้มีเพียงฝ่ายต่อต้านเพียงด้านเดียว

ภารกิจหนุนแก้รัฐธรรมนูญ ถ่วงดุลมวลชนพันธมิตรฯ เป็นภารกิจหลักในสถานการณ์ต้นสิงหาคม

แต่อย่างไรก็ตาม “มวลชนโพกแดง” ยังคงเป็นอาวุธสำคัญในสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

สามารถปรับเปลี่ยนภารกิจ ตามสถานการณ์พลิกผันได้เช่นกัน !

ขอย้ำ ! ท่านผู้อ่านที่รักว่า ต่อจากนี้ไปเป็นแค่การวิเคราะห์คาดการณ์ของผู้เขียนโดยลำพัง เพื่อพยายามมองสถานการณ์การเมืองในระยะต่อไป และเพื่อพยายามตอบคำถามเพื่อนฝูงที่โทรศัพท์สอบถามมาด้วยความวิตกกังวล

ต่อคำถามว่า “ จะมีจลาจลนองเลือดมั้ย ? ” ขอตอบว่า ...

ปัจจัยสำคัญที่จะเกิดเหตุลักษณะนี้มาจากคนสองคน คือ หนึ่ง-นายใหญ่ และสอง-หมอผี ผู้กำลังคิดการณ์ใหญ่อยู่หลังฉากครองอำนาจรัฐต่อในยุคไร้นาย

วิเคราะห์แบบจำลองสถานการณ์ (Scenario) จากขั้นแรงสุดลงไปตามลำดับ

การตัดสินใจของนายใหญ่ – โดยพื้นฐานเป็นคนไม่เสี่ยง-กล้าได้กล้าเสียแบบ Zero-sum game จะไม่ขยับหากไม่ได้เป็นผู้คุมเกม การจะตัดสินใจใช้กองกำลังที่จงรักภักดี(หรือที่ซื้อไว้)เพื่อรัฐประหารตัวเองซึ่งสุ่มเสี่ยงเกิดการจลาจลนองเลือดเต็มถนนนั้น มีเปอร์เซ็นต์ไม่สูงนัก ระบอบทักษิณไม่ได้กุมกลไกอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเมื่อปี 2548-49 ผู้ลงมือต้องกินดีหมีหัวใจมังกรยินยอมตายแทนเท่านั้น

การตัดสินใจสู้ – จึงน่าหมายถึงให้หลุดจากบ่วงคดี และมีโอกาสมากที่สุดคือ การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนและพวกพ้องอยู่ในอำนาจรัฐต่อไป กติกาหลังการแก้เอื้อให้เกิดการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จรอบสองและจะเอื้อต่อทุกปัญหาให้หลุดพ้นไป หรือ ผ่อนคลายลง

สร้างโอกาสกลับมาอย่างผู้ชนะในอนาคต

เกมการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้จึงมีเดิมพันสูงมาก ต่อทั้งนายใหญ่และพลพรรคนักการเมืองในสังกัด !

วิธีการที่จะให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากการคุมเสียงในสภาและอาจต้องแลกจำนวนมือด้วยปัจจัยพิเศษที่ต้องทุ่มเทให้แล้ว การใช้มวลชนยังมีความจำเป็น – จึงไม่ต้องแปลกใจหากจะมีการระดมคนมากมายลงมากรุงเทพฯ เป็นระยะ

อาจมีปะทะย่อยบ้าง แต่ก็ประคับประคองเพียงให้อยู่ในสภาวะ “ยัน” ให้เกิดภาพก้ำกึ่งเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะ

นปก.เมืองกรุงฯ งานเข้าหลังจากถูกปล่อยให้บ้าตามยถากรรมมานาน อาจแสดงฤทธิ์ออกมาบ้างแต่ยังไม่ใช่ของจริง

แบบจำลองตัวสุดท้ายคือ “หนี” และการหนีที่น่ารื่นรมย์ที่สุดคือการขอลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และได้สิทธิอื่น ๆ มากกว่าเป็นอาชญากรหนีคดีไปซุกตัวอยู่ในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนผู้ร้ายข้ามแดน

การได้สิทธิ์ขอลี้ภัยทางการเมือง ต้องเริ่มจากคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ลี้ภัยและครอบครัว ให้เป็นไปตามตามอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ 1951 ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่หนีภัยจากการประหัตประหาร/การไล่ทำร้าย/การถูกกระทำโดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ จากรัฐที่ตนมีสัญชาติ ภายใต้เหตุผลที่ว่า ตนเองมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง เช่น การถูกรัฐประหาร/ การพยายามรวบรวมหลักฐานว่าถูกบิดเบือนให้ร้ายไม่ปลอดภัย และความไม่ปลอดภัยจากกลุ่มการเมืองอีกฝ่าย

วิธีการรูปธรรม คือ จัดให้มีการปะทะขนาดใหญ่เป็นจลาจลกลางเมืองระหว่างผู้สนับสนุนนายใหญ่และฝ่ายพันธมิตรฯ เป็นองค์ประกอบสำคัญ

ซึ่งหากเลือกวิธีการนี้ยังไม่ใช่ระยะ 1-4 สิงหาคมนี้ เพราะอย่างน้อยครอบครัวยังอยู่เมืองไทย หากจะเกิดจริงก็ต้องระหว่างการลงมติรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโน่น

แต่ทั้งหมดก็ต้องอ่านใจ กุนซือหมอผีผู้ทำหน้าที่จัดการเรื่องราวแทนทั้งหมด

ทุกแผน ทุกวิธีการ หมอผีต้องได้ประโยชน์คุ้มค่าด้วย – ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์แค่สนองคุณ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ..หมอผีก็คงไม่โง่ทำ !!

จึงขอฟันธงตอบคำถามผู้ที่ถามซึ่งกำลังจะไปมัฆวานฯ ว่า ระยะ 1-4 สิงหาคมนี้ ยังไม่น่ามีสิ่งที่วิตกกังวลกัน !

แต่อย่าลืมนะครับ นี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ซ้ำยังไม่มีฐานข้อมูลวงในของฝ่ายใดเลย .... ความไม่ประมาทยังคงเป็นธรรมะพื้นฐานที่ต้องยึดไว้ตลอดเวลาครับพี่น้อง !
กำลังโหลดความคิดเห็น