เรียน ท่านนักวิชาการกลุ่มไม่เอาพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังรวมกลุ่มหารือเพื่อหาทางออก หลายท่านในนั้นเป็นกัลยาณมิตรที่สนิทสนมคุ้นเคย ผมไม่คิดว่าท่านเป็นปรปักษ์ซ้ำยังเชื่อมั่นว่าทุกท่านล้วนมีความหวังดีกับชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น
ขอให้ท่านเชื่อมั่นว่า ผมได้สัมผัสและเข้าใจกลุ่มคนที่หลากหลายซึ่งร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ และขอให้เชื่อมั่นเถิดว่า ทั้งมวลชนและแกนนำ ไม่มีใครคิดจะส่งบัตรเชิญให้ทหารมารัฐประหารอย่างที่หลายท่านกังวล หรือวิเคราะห์ไปล่วงหน้า
ขอให้เชื่อมั่นว่า เรากำลังพยายามสร้างประชาธิปไตยบทใหม่ขึ้นมาในสังคมไทย ด้วยการพยายามสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่ (New Social Movement) อันเป็นรากฐานของการเมืองภาคพลเมืองที่เข้มแข็ง
ระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่ จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ หากปราศจากภาคพลเมืองที่เข้มแข็ง
ขอเรียนถึงนักวิชาการผู้เป็นกัลยาณมิตร ว่า นี่เป็นรอยต่อที่สำคัญมากของการพยายามผ่าทางตันการเมืองไทยให้หลุดจากวงจรอุบาทว์... อันเป็นวงจรที่เดินย่ำซ้ำรอยมาตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 มาถึงวันนี้ครบรอบ 76 ปีพอดิบพอดี
นี่เป็นรอยต่อสำคัญ ที่จะชี้วัดว่า เราจะหลุดพ้นจากวังวนที่เราท่านวิตกกังวลได้หรือไม่
ขบวนการมวลชนของพันธมิตร ได้ยกระดับตนเองมาขั้นหนึ่งแล้ว
เมื่อปี 2549 ประชาชนที่ออกจากบ้านมาเพราะความเคียดแค้นชิงชัง ไม่ต้องการผู้ปกครองคดโกง โดยส่วนใหญ่ไม่สนใจวิธีการ
ด้วยขบวนการเรียนรู้ตลอด 3 ปีมานี้ ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่เป็นฐานผู้เสียภาษีได้ยกระดับ “ความคิด” ของตนเองขึ้นมาอีกระดับ
กลายเป็น พลเมือง ที่มีสำนึกสาธารณะ พร้อมเสียสละ มุ่งมั่น และรู้ชัดเจนว่า ตนคือรากฐานของประชาธิปไตย อันกำเนิดมาจาก สิทธิ และ เสรีภาพของประชาชนพลเมืองเป็นสำคัญ
การที่ประชาชนพลเมืองจำนวนมหาศาลแสดงตนและแสดงออกร่วมกันซึ่งสำนึกสาธารณะ อยากเห็นชาติบ้านเมืองดี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ
ขั้นตอนการยกระดับ “ความคิด” ว่ายากแล้ว แต่การยกระดับ “จิตใจ” กลับยากกว่า !!!
มวลชนพลเมืองที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรฯ กำลังอยู่ในรอยต่อของการยกระดับ “จิตใจ” อันเป็นกระบวนการสำคัญที่สุดที่จะชี้วัดว่า ระบบการเมืองของประเทศนี้ สามารถจะเป็นระบบที่หาทางออกให้ตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจภายนอก
การยกระดับจิตใจคืออะไร ? ก็คือ แบบแผนความคิดของวิธีการใช้สิทธิ-เสรีภาพ ในกรอบสันติ อหิงสา ตักเตือนตัวเองให้อยู่ในกรอบของความสุภาพ เห็นอกเห็นใจ ระงับตนเองจากวิธีการที่รุนแรงทุกชนิด
อย่างเช่น การที่ท่านมหาจำลอง พยายามกล่าวซ้ำย้ำเตือนเป็นระยะในวันเคลื่อนขบวนใหญ่ เตือนไม่ให้มวลชนเกลียดโกรธ มองเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นศัตรู ... ใครไม่เคยอยู่ในม็อบไม่รู้หรอกครับว่า บรรยากาศที่ฮึกเหิมของหมู่ชนนั้นเป็นเชื้ออันดีที่จะทำให้เกิดความเกลียด โกรธ หรือ ความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ – มุ่งร้าย
ไม่ง่ายนะครับ ขั้นตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องจิตใจ !
เอาให้ได้แค่ระดับต้น ๆ ของหลักอหิงสา สัตยาเคราะห์ของมหาตมะ คานธี ก็ยอดแล้ว
ขอยอมรับว่าพันธมิตรฯ มาจากความหลากหลาย ต่างที่มา ต่างจิตใจ ต่างพื้นฐาน มีเยอะมากที่การแสดงออกของหลายท่านที่ไม่อยู่ในกรอบดังกล่าว เช่น การขึ้นปราศรัยที่ใช้คำหยาบคาย กระตุ้น ยั่วยุให้ประชาชนใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงกับมีป้ายประกาศติดไว้ก่อนขึ้นเวทีตั้งแต่สัปดาห์แรกของการเคลื่อนไหว ..ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็พยายามทำ
และก็ต้องยอมรับว่า วิธีการหรือกลยุทธ์การปราศรัยของแต่ละท่านบนเวที มีบ้างที่หลุด มีบ้างที่ทำให้ตีความไปต่าง ๆ นานา
แต่ที่สุดแล้วแนวทางใหญ่ที่กำลังพยายามทำก็คือ การสร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง มีคุณภาพใน การเมืองภาคพลเมืองให้ได้
ยกระดับทั้งความคิด และ ยกระดับทั้งจิตใจ !
คำว่า ทุบหม้อข้าวตีเมือง, สงคราม 9 ทัพ, ไม่ชนะไม่เลิก เป็นแค่เปลือกครับ ไม่ใช่แก่น
ไม่ปฏิเสธหรอกครับ..พร้อม ๆ กับการสร้างและยกระดับตนเอง เราก็ยังมีเจตนาจะขับไล่รัฐบาล และนักการเมืองที่กำลังบริหารบ้านเมืองอยู่
ในฐานะของเจ้าของประเทศ เรามีสิทธิ์เต็มเปี่ยมที่จะแสดงตนออกมาปฏิเสธรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม มีพฤติกรรมสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง
แสดงสิทธิ์ให้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย-ยังไม่พอ !! เรากำลังพยายามสร้างบรรทัดฐานวิธีการชุมนุมที่เรียบร้อย ไม่กระทำความรุนแรง สร้างสำนึกปลูกฝังลงในสมองด้วยว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหา สร้างแบบแผนการชุมนุมและเคลื่อนไหวภายใต้กรอบสุภาพชน
ยิ่งสุภาพทั้งกายและใจได้เท่าใด..ก็จะยิ่งเหนือกว่า วิธีการแบบถ่อย เถื่อน อันธพาล มากขึ้นเท่านั้น !
เพื่อน-พี่นักวิชาการ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักครับ !
เรายังไปไม่ถึงขั้นมหาตมะ คานธี หรอกครับ ขออย่ากระแนะกระแหนคำประกาศ สันติ อหิงสา ของเราเลย ระหว่างการเคลื่อนไหวยอมรับว่าเรามีข้อบกพร่องจำนวนมาก ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดของมวลชนหลากหลายต่างที่มา กลยุทธ์การสร้างความเข้าใจ หรือความฮึกเหิม ย่อมแตกต่างหลากหลาย
การสร้างประชาธิปไตยใหม่ ทำให้สังคมไทยหลุดจากวังวนการเมืองอุบาทว์ จะต้องมีพลังกดดันและพลังต่อรองภาคสังคมที่ฉลาด เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ยอมเสียสละ เท่านั้น
เรากำลังทำหน้าที่สร้างพลังดังกล่าวขึ้นมา
ขณะเดียวกัน เราก็ทำหน้าที่เหนี่ยวรั้ง ถ่วงดุล การใช้อำนาจทางการเมืองพร้อมกันไป
เช่นเดียวกับเราก็เรียนรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากการคุกคามอย่างไรด้วย จึงทำให้หลายท่านมองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขความรุนแรง
ถ้าปล่อยให้นักการเมืองใช้อำนาจแบบเหิมเกริม ยิ่งผ่านไปยิ่งรวมศูนย์แข็งแกร่ง.. โดยประชาชนนั่งพับเพียบเรียบร้อย เก็บกดความไม่พอใจอยู่ในบ้าน ปล่อยการเมืองเป็นเรื่องของคนกลุ่มเดิมทำกันไป
แบบนี้ต่างหาก ที่เป็นเงื่อนไขความรุนแรง และความล่มจม
เพราะจุดสุดท้าย ไม่รัฐประหาร ก็นองเลือดบนท้องถนนเหมือนเดิมแหละครับ !
ขอให้ท่านเชื่อมั่นว่า ผมได้สัมผัสและเข้าใจกลุ่มคนที่หลากหลายซึ่งร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ และขอให้เชื่อมั่นเถิดว่า ทั้งมวลชนและแกนนำ ไม่มีใครคิดจะส่งบัตรเชิญให้ทหารมารัฐประหารอย่างที่หลายท่านกังวล หรือวิเคราะห์ไปล่วงหน้า
ขอให้เชื่อมั่นว่า เรากำลังพยายามสร้างประชาธิปไตยบทใหม่ขึ้นมาในสังคมไทย ด้วยการพยายามสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่ (New Social Movement) อันเป็นรากฐานของการเมืองภาคพลเมืองที่เข้มแข็ง
ระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่ จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ หากปราศจากภาคพลเมืองที่เข้มแข็ง
ขอเรียนถึงนักวิชาการผู้เป็นกัลยาณมิตร ว่า นี่เป็นรอยต่อที่สำคัญมากของการพยายามผ่าทางตันการเมืองไทยให้หลุดจากวงจรอุบาทว์... อันเป็นวงจรที่เดินย่ำซ้ำรอยมาตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 มาถึงวันนี้ครบรอบ 76 ปีพอดิบพอดี
นี่เป็นรอยต่อสำคัญ ที่จะชี้วัดว่า เราจะหลุดพ้นจากวังวนที่เราท่านวิตกกังวลได้หรือไม่
ขบวนการมวลชนของพันธมิตร ได้ยกระดับตนเองมาขั้นหนึ่งแล้ว
เมื่อปี 2549 ประชาชนที่ออกจากบ้านมาเพราะความเคียดแค้นชิงชัง ไม่ต้องการผู้ปกครองคดโกง โดยส่วนใหญ่ไม่สนใจวิธีการ
ด้วยขบวนการเรียนรู้ตลอด 3 ปีมานี้ ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่เป็นฐานผู้เสียภาษีได้ยกระดับ “ความคิด” ของตนเองขึ้นมาอีกระดับ
กลายเป็น พลเมือง ที่มีสำนึกสาธารณะ พร้อมเสียสละ มุ่งมั่น และรู้ชัดเจนว่า ตนคือรากฐานของประชาธิปไตย อันกำเนิดมาจาก สิทธิ และ เสรีภาพของประชาชนพลเมืองเป็นสำคัญ
การที่ประชาชนพลเมืองจำนวนมหาศาลแสดงตนและแสดงออกร่วมกันซึ่งสำนึกสาธารณะ อยากเห็นชาติบ้านเมืองดี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ
ขั้นตอนการยกระดับ “ความคิด” ว่ายากแล้ว แต่การยกระดับ “จิตใจ” กลับยากกว่า !!!
มวลชนพลเมืองที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรฯ กำลังอยู่ในรอยต่อของการยกระดับ “จิตใจ” อันเป็นกระบวนการสำคัญที่สุดที่จะชี้วัดว่า ระบบการเมืองของประเทศนี้ สามารถจะเป็นระบบที่หาทางออกให้ตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจภายนอก
การยกระดับจิตใจคืออะไร ? ก็คือ แบบแผนความคิดของวิธีการใช้สิทธิ-เสรีภาพ ในกรอบสันติ อหิงสา ตักเตือนตัวเองให้อยู่ในกรอบของความสุภาพ เห็นอกเห็นใจ ระงับตนเองจากวิธีการที่รุนแรงทุกชนิด
อย่างเช่น การที่ท่านมหาจำลอง พยายามกล่าวซ้ำย้ำเตือนเป็นระยะในวันเคลื่อนขบวนใหญ่ เตือนไม่ให้มวลชนเกลียดโกรธ มองเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นศัตรู ... ใครไม่เคยอยู่ในม็อบไม่รู้หรอกครับว่า บรรยากาศที่ฮึกเหิมของหมู่ชนนั้นเป็นเชื้ออันดีที่จะทำให้เกิดความเกลียด โกรธ หรือ ความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ – มุ่งร้าย
ไม่ง่ายนะครับ ขั้นตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องจิตใจ !
เอาให้ได้แค่ระดับต้น ๆ ของหลักอหิงสา สัตยาเคราะห์ของมหาตมะ คานธี ก็ยอดแล้ว
ขอยอมรับว่าพันธมิตรฯ มาจากความหลากหลาย ต่างที่มา ต่างจิตใจ ต่างพื้นฐาน มีเยอะมากที่การแสดงออกของหลายท่านที่ไม่อยู่ในกรอบดังกล่าว เช่น การขึ้นปราศรัยที่ใช้คำหยาบคาย กระตุ้น ยั่วยุให้ประชาชนใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงกับมีป้ายประกาศติดไว้ก่อนขึ้นเวทีตั้งแต่สัปดาห์แรกของการเคลื่อนไหว ..ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็พยายามทำ
และก็ต้องยอมรับว่า วิธีการหรือกลยุทธ์การปราศรัยของแต่ละท่านบนเวที มีบ้างที่หลุด มีบ้างที่ทำให้ตีความไปต่าง ๆ นานา
แต่ที่สุดแล้วแนวทางใหญ่ที่กำลังพยายามทำก็คือ การสร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง มีคุณภาพใน การเมืองภาคพลเมืองให้ได้
ยกระดับทั้งความคิด และ ยกระดับทั้งจิตใจ !
คำว่า ทุบหม้อข้าวตีเมือง, สงคราม 9 ทัพ, ไม่ชนะไม่เลิก เป็นแค่เปลือกครับ ไม่ใช่แก่น
ไม่ปฏิเสธหรอกครับ..พร้อม ๆ กับการสร้างและยกระดับตนเอง เราก็ยังมีเจตนาจะขับไล่รัฐบาล และนักการเมืองที่กำลังบริหารบ้านเมืองอยู่
ในฐานะของเจ้าของประเทศ เรามีสิทธิ์เต็มเปี่ยมที่จะแสดงตนออกมาปฏิเสธรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม มีพฤติกรรมสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง
แสดงสิทธิ์ให้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย-ยังไม่พอ !! เรากำลังพยายามสร้างบรรทัดฐานวิธีการชุมนุมที่เรียบร้อย ไม่กระทำความรุนแรง สร้างสำนึกปลูกฝังลงในสมองด้วยว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหา สร้างแบบแผนการชุมนุมและเคลื่อนไหวภายใต้กรอบสุภาพชน
ยิ่งสุภาพทั้งกายและใจได้เท่าใด..ก็จะยิ่งเหนือกว่า วิธีการแบบถ่อย เถื่อน อันธพาล มากขึ้นเท่านั้น !
เพื่อน-พี่นักวิชาการ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักครับ !
เรายังไปไม่ถึงขั้นมหาตมะ คานธี หรอกครับ ขออย่ากระแนะกระแหนคำประกาศ สันติ อหิงสา ของเราเลย ระหว่างการเคลื่อนไหวยอมรับว่าเรามีข้อบกพร่องจำนวนมาก ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดของมวลชนหลากหลายต่างที่มา กลยุทธ์การสร้างความเข้าใจ หรือความฮึกเหิม ย่อมแตกต่างหลากหลาย
การสร้างประชาธิปไตยใหม่ ทำให้สังคมไทยหลุดจากวังวนการเมืองอุบาทว์ จะต้องมีพลังกดดันและพลังต่อรองภาคสังคมที่ฉลาด เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ยอมเสียสละ เท่านั้น
เรากำลังทำหน้าที่สร้างพลังดังกล่าวขึ้นมา
ขณะเดียวกัน เราก็ทำหน้าที่เหนี่ยวรั้ง ถ่วงดุล การใช้อำนาจทางการเมืองพร้อมกันไป
เช่นเดียวกับเราก็เรียนรู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากการคุกคามอย่างไรด้วย จึงทำให้หลายท่านมองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขความรุนแรง
ถ้าปล่อยให้นักการเมืองใช้อำนาจแบบเหิมเกริม ยิ่งผ่านไปยิ่งรวมศูนย์แข็งแกร่ง.. โดยประชาชนนั่งพับเพียบเรียบร้อย เก็บกดความไม่พอใจอยู่ในบ้าน ปล่อยการเมืองเป็นเรื่องของคนกลุ่มเดิมทำกันไป
แบบนี้ต่างหาก ที่เป็นเงื่อนไขความรุนแรง และความล่มจม
เพราะจุดสุดท้าย ไม่รัฐประหาร ก็นองเลือดบนท้องถนนเหมือนเดิมแหละครับ !