เช้าวันนี้...นั่งจิบกาแฟขม และรับประทานทานอาหารเช้าที่บ้านเพื่อน ลูกแฝดทั้งคู่ของเขาซึ่งศึกษาอยู่ปีสุดท้าย ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ สนิทสนมกับผมมาก เคยเขียนถึงหลายครั้งแล้ว
กินไปนั่งดูข่าวโทรทัศน์ไป เห็นข่าวของ เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารี (Edmund Hillary) ชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไป เมื่อวันที่ ๑๑ ม.ค.๒๕๕๑ ที่ผ่านมาผู้พิชิตยอดเอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก บนเทือกเขาหิมาลัย ได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก พร้อมเทนซิง นอร์เกย์ (Tenzing Norgay) คู่หูชาวเชอร์ปา เนปาล
ตอบคำถามไปแล้ว ก็มีความรู้สึกขึ้นมา ว่า
เยาวชนคนรุ่นใหม่ของบ้านเรา มีความสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล ที่ถือได้ว่าเป็น “คนของโลก” น้อยไปหน่อย
นี่ขนาดกำลังจะจบการศึกษา ไปเป็นวิศวกร อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วนะ!
เรื่องราวของบุคคลสำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา ผู้นำทางศาสนา นักคิด นักการเมือง การทหาร มหาบุรุษ วีรสตรี คีตกวี ฯลฯ น่าที่จะสนับสนุนให้มีการเรียนรู้ เกี่ยวกับท่านเหล่านั้นเอาไว้บ้าง เพื่อเด็กและเยาวชนของเรา จะได้รู้เรื่องราวของโลกอย่างกว้างขวาง แต่ความสำคัญในเรื่องนี้ในปัจจุบัน ได้รับความสนใจจากสังคมบ้านเรา น้อยลงไปหรือเปล่า?
หรือจะเป็นเพราะวิชาประวัติศาสตร์ จะด้อยความสำคัญลงไป ในยุคโลกาภิวัตน์ โดยมีการทิ้งน้ำหนักลงไป ให้กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มากกว่า?
ยังเป็นคำถาม ที่ต้องค้นหาคำตอบกัน
สำหรับชาติอื่นนั้น เกือบทุกประเทศ เขาให้นักเรียนนักศึกษา เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ค่อนข้างเข้มข้น เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับ “บุคคลสำคัญ” ของประเทศตนเอง
อยากให้ดูอย่างสหรัฐอเมริกา เขาเน้นความสำคัญ ในการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติมาก แม้ว่าจะเพิ่งสร้างชาติมายังไม่ถึงสามร้อยปี
บ้านเขานั้น อย่าว่าแต่อัตชีวประวัติของประธานาธิบดี หรือนักการเมือง การทหาร นักคิดคนสำคัญ ฯลฯเลย แม้แต่ถ้อยคำต่างๆ หรือสุนทรพจน์ต่างๆที่สำคัญของท่านเหล่านั้น เยาวชนของเขาก็ท่องจนจำได้ แต่ในบ้านเรานั้น เด็กคนไหนที่จำพระราชดำรัสองค์สำคัญของพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี หรือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ปัจจุบันได้บ้าง?
คิดว่า น่าจะมีจำนวนไม่มากนัก!
ที่ผมทึ่งเด็กอเมริกันเอามากๆ ก็คือ
ความเอาใจใส่ในเรื่อง ปี พ.ศ. ของเหตุการณ์ ที่ทำให้ลำดับเรื่องราว ที่เกิดขึ้นก่อนหลังได้ง่ายๆ แต่การสอนของบ้านเรา ดูเหมือนจะละเลย ไม่เน้นย้ำในเรื่องนี้
ไม่ใช่แต่เพียงตัวเลขศักราชเท่านั้น เยาวชนหรือคนมีอายุอเมริกัน ต่างก็รักในการอ้างอิงถึงตัวเลขและสถิติต่างๆเป็นอย่างมาก ไม่ว่าในเรื่องสถิติในวงการกีฬา ตัวเลขการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ อัตราภาษี ฯลฯ คนอเมริกันให้ความสำคัญนัก
บ้านเมืองเราต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้ให้มาก มีโอกาสจะได้ว่ากันต่อไป
ตอนยังเป็นเด็กนั้น การที่ได้อยู่โรงเรียนประจำ ทำให้มีเวลาคุยกับเพื่อนฝูง หรือแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าเด็กโรงเรียนไปเช้าเย็นกลับ เป็นเด็กเล็กหน่อย ก็ฟังเด็กโตกว่าพูด พอโตขึ้นก็พูดให้เด็กเล็กฟังบ้าง
โชคดีที่ผมมีพี่ชายที่เรียนเก่ง ใฝ่ใจในการศึกษา อ่านหนังสือมากมาย ทำให้รอบรู้มากกว่าเด็กปกติ และเพราะการเรียนเก่งเอามากๆ เป็นที่ลือกันไปไกล พี่ของผมสอบได้ทุนของหนังสือพิมพ์นิวยอร์คเฮอรัลทรีบูน เป็นผู้แทนนักเรียนไทย ไปประชุมนักเรียนนานาชาติที่สหรัฐ ทุนนี้ใน พ.ศ.นั้น เป็นที่ปรารถนาของนักเรียนของโรงเรียนแถวหน้าเช่น เตรียมอุดมศึกษา สวนกุหลาบ คริสเตียน เซนต์กาเบรียล รวมทั้งโรงเรียนสตรีมีชื่อทั้งหลายด้วย
ทุนนี้ให้ปีละ ๑ คน เท่านั้น
ความสามารถอันน่าทึ่ง ทำให้พี่ชายโดดเด่น และเป็นโต้โผ ในการตั้งวงสนทนาเรื่องการบ้านการเมือง ขาประจำในการถกแถลงแสดงปัญญาแบบเด็กนักเรียน ก็มีที่เห็นๆอย่าง ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช, ดร.โกศัลย์ คูสำราญ สองนักการศึกษาคนสำคัญ พิมลศักดิ์ “เดอะแก่” สุวรรณทัต ผู้ที่มีบทบาทปัจจุบัน ในการกำกับดูแลโครงการในพระราชดำริ และตอนนี้เป็นเหรัญญิกมูลนิธิชัยพัฒนาด้วย ฯลฯเป็นต้น
ดร.ชัยอนันต์ฯเขียนถึงพี่ผม เอาไว้ในหนังสือของท่าน เท่าที่นึกได้คือหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาชื่อ “เพลิน” ขอแนะนำให้ลองไปหาอ่านดู
เวลามีข่าวสำคัญเกิดขึ้นในโลก พอพี่ชายอ่านข่าวเสร็จ ก็จะถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล ประเทศ หรือสถานที่ซึ่งข่าวสารอ้างถึง เป็นการเสริมความรู้ในข่าวสาร ให้กับกลุ่มพรรคพวกคงแก่เรียนทั้งหลาย
ผมก็พลอยได้ อานิสงส์ไปด้วย
ตอนเซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี พิชิตเอเวอเรสต์สำเร็จพร้อมเทนซิง นอร์เกย์ เป็นข่าวใหญ่มาก นักเรียนวชิราวุธฯรุ่นๆผม ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พอถึงวันเสาร์โรงเรียนจะฉายหนังในหอประชุมให้นักเรียนดู
ก่อนจะฉายหนังเรื่อง ก็มีภาพยนตร์ข่าวออกมาฉายให้ดูก่อน เป็นข่าวของสำนักข่าว “ปาเต๊ะ” (Pathe) สัญญาลักษณ์เป็นตราไก่ ออกมาสลัดขน โก่งคอร้อง “เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก” ก่อนเข้าข่าว และหนังมีการพากย์ไทยกำกับ
หนังข่าวในโรงภาพยนตร์ทั่วไป กับหนังข่าวที่นักเรียนวชิราวุธฯ ที่พวกผมได้ดูทุกค่ำวันเสาร์ ก็เป็นข่าวเดียวกัน
เรียกว่าอยู่โรงเรียนประจำก็จริง แต่ไม่ตกข่าวสารอย่างแน่นอน
ดังนั้น นักเรียนประจำอย่างเรา ได้เห็นรายงานรายละเอียดต่างๆ ของการพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลก ได้อย่างทันท่วงที ทำให้เด็กๆตื่นตัวมาก
ยังจำได้ว่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งพ่อแม่พาไปหัวหินทุกปี พาพี่น้องเดินขึ้นเขาตะเกียบ เพื่อเอาอย่างท่านเซอร์ พอกลับมาโรงเรียน เขาเล่าการผจญภัยให้เพื่อนฟังตามประสาเด็ก แต่ยืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ไปแล้วเอเวอเรสต์ โดยให้เหตุผลสั้นๆว่า
“เหนื่อยว่ะ!”
อย่าว่าแต่เพื่อนเลย ข่าวนี้มันยังเร้าใจเด็กอย่างผมเสียเหลือเกิน ยังจำได้ว่าแม้
ตัวเองก็ยังเคยนอนฝันว่า
เดินฝ่าลมหนาวและพายุหิมะ ย่ำไปบนทางลาดชันที่ลื่นและอันตราย บนภูเขาเดียวกันกับที่ท่านเซอร์ และสหายชาวเชอร์ปา ทำสำเร็จมาแล้ว
ไม่ได้ฝันครั้งเดียวด้วย แต่ฝันถึงหลายครั้งทีเดียว บางครั้งก็ฝันว่า
ห้อยตัวเองโหนกวัดแกว่งอยู่กลางหน้าผาสูงชัน น่าหวาดเสียว แถมบางคืนยังฝันไกลไปว่า
ตัวเองพิชิต ยอดเขาเอเวอเรสต์...ได้สำเร็จอีกแน่ะ!!
ขนาดนั้นทีเดียวเชียว...ไม่ได้พูดเล่นนะ!!!...๕๕๕
การพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลก เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่ชอบผจญภัย ชอบความเสี่ยงและท้ายทาย มาพิสูจน์ความแข็งแรง และความพากเพียรด้วยการเอาชนะตัวเอง ในการบากบั่นไต่ขึ้นยอดเขา ที่เป็นตำนานอันลือลั่น
มาจนถึงวันนี้แล้ว นักผจญภัยจากทั่วทุกมุมโลก มุ่งตรงมาปีนป่าย และกลาย เป็นผู้พิชิตยอดเอเวอเรสต์ได้แล้วกว่า ๒,๐๐๐ คน บางคนเป็นผู้พิการด้วยซ้ำ!
บนความสำเร็จ ก็มีความล้มเหลว เพราะมีผู้เอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นกว่า ๒๐๐ คน!!
คนชาติอาเซียนบ้านใกล้เรือนเคียงกับเรา มีชาวมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ขึ้นยอดเอเวอเรสต์ สำเร็จแล้วหลายคน เช่น นายราวีชาวมาเลเซียปีนขึ้นทางทิเบต และคนชาติเดียวกับเขาอีกคน ชื่อนายวินเซนต์ โลฮ์ ขึ้นทางด้านเนปาล
ชาวฟิลลิปปินส์ชื่อนายลีโอ กลายเป็นตากาล๊อคคนแรก ที่พิชิตยอดเอเวอเรสต์สำเร็จ และคนของชาติเล็กๆอย่างสิงคโปร์ คือนายคู ซิ่ว เฉียว พิชิตยอดเขาที่มีชื่อเสียงแห่งนี้มาถึง ๒ ครั้งแล้ว แต่พอถึงครั้งที่ ๓ เขาพยายามจะไม่ใช้ออกซิเจนในการช่วยหายใจ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะทนไม่ไหว ต้องใช้ออกซิเจนช่วยในช่วงท้ายๆของการป่ายปีน
ผมเองหวังว่าคงมีโอกาสเห็นคนไทย เป็นผู้พิชิตยอดเขาลูกนี้กับเขาบ้าง อยากจะเห็นภาพผู้กล้าของคนไทย ขึ้นไปปักธงไตรรงค์ จุดเดียวกับเซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี่ และสหายเทนซิง นอร์เก ได้บุกเบิกไว้
ดังนั้น เมื่อปลายปีที่แล้ว พอทางไอทีวีเขาประกาศว่า จะจัดการส่งทีมชาวไทย ไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองปี
มหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เจริญพระชนม์มายุ ครบ ๘๐ พระชันษา โดยจะถ่ายทอดให้ผู้ชมทางเมืองไทย ได้เห็นกันจะๆ
คนเขียนรู้สึกตื่นเต้น เอาใจช่วยเต็มที่ ทั้งได้ติดตามดูรายการตลอด!
แม้คณะของไอทีวี จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หากความสำคัญอยู่
ตรงที่ “ความพยายาม” แม้มันจะไม่สำเร็จ แต่ผมก็หวังลึกๆว่า ภาพที่ได้ถ่ายทอดมาสู่สายตาพี่น้องประชาชนนั้น จะเป็นเครื่องช่วยกระตุ้น ให้เกิดแรงบันดาลใจ กับเยาวชนคนรุ่นหลังต่อไป และหวังว่า
วันหนึ่งคนไทยเรา ต้องทำสำเร็จให้จงได้!!
ผมคิดว่า “ความฝัน” นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข ในกาแฟขมขนมหวานเล่มแรก ผมเคยพูดว่าคนยากจนนั้น ชอบดูภาพยนตร์ที่สนุกสุขสันต์ โรแมนติค แฮบปี้เอนดิ้ง พูดง่ายๆคือดูแล้วมีความสุข เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นั้น มันทุกข์ยากลำบากนัก
จึงเขียนเอาไว้ว่า
...ความฝันนั้นเป็นสิ่งดี เพราะคนเราสามารถมีทุกสิ่งได้ในฝัน และฝันนี่เองที่เติมพลัง ทำให้ชีวิตยืดยาวด้วยความหวัง ประเทศใดก็ตาม ที่ประชาชนจนยาก ล้าหลัง ภาพยนตร์ ลิเก หรือการแสดงที่คล้ายคลึงกัน จะเป็นที่ชื่นชอบมาก
การดูภาพยนตร์ ลิเก ทำให้เขาและเธอเหล่านั้น มีความฝันอันบรรเจิดเพริศพริ้ง เพราะจะได้เป็นพระเอก นางเอก เป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ และได้พบกับความรัก บันเทิงเริงสุข สมหวัง เหมือนตอนจบของเรื่อง ที่นางเอกพระเอก ได้ครองรักกันไปตราบชั่วกัลปาวสาน
แต่เมื่อหนังจบ ลิเกลาโรงเลิกแล้ว ก็กลับมาพบพานความจริงในชีวิต สิ่งที่หลงเหลือก็คือ การเก็บเอาความสุขในหนังหรือลิเกไปเป็นเชื้อเติมฝันกันต่อไป
ชีวิตเป็นดังนี้...
คนเรานั้น ควรสร้าง “ฝัน” ของตัวเอง แต่ต้องไม่เอาแต่ฝัน หากต้องมีความมุ่งมั่น ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ตามความฝันนั้นของตนด้วย
สิ่งที่จะเกื้อหนุน เป็นเหตุปัจจัย ให้เราไปไกลถึงฝันที่ตั้งไว้ คือ การไม่นำปัญหาในอดีตและ สิ่งที่ยังไม่เกิดในอนาคต มาเป็นตัวตั้ง ประกอบกับการมีสติ ไม่ประมาทและ
“ทำปัจจุบัน ให้ดีที่สุด!”
เพียงเท่านี้จะทำให้ตัวเอง และสังคมอยู่อย่างปกติและยั่งยืน เราเองก็จะก้าวไปสู่ความฝันที่ตั้งไว้ได้โดยสวัสดี
ก่อนจบบทความในวันนี้ อยากจะเล่าถึงภาพยนตร์ที่ชอบมาก และดูหลายครั้ง ชื่อเรื่อง Collateral ไม่ทราบว่าชื่อภาษาไทยว่าอะไร เพราะดูทางเคเบิล ทีวี
หนังเรื่องนี้ เจมี่ ฟอกซ์ (Jamie Foxx) เล่นเป็นแท๊กซี่ โชคร้ายที่ไปรับเอาผู้โดยสารที่เป็นนักฆ่าอาชีพ ซึ่งแสดงนำโดยทอม ครูซ (Tom Cruise) และจำต้องยอมขับรถให้ และพานักฆ่าไปสังหารผู้คนเสียหลายศพ แต่ก่อนที่แท็กซี่คันนี้จะรับผู้เป็นฆาตกรนั้น โชเฟอร์ได้รับอัยการสาวสวย และเป็นหนึ่งในเหยื่อสังหารด้วย โดยสารรถเขาไปที่สำนักงานของเธอ
อัยการคนหุ่นดีมีเสน่ห์คนนี้ นำแสดงโดย จาดา พินเก็ต สมิธ (Jada Pinkett Smith) รูปร่างงดงาม สวยระเบิดระเบ้อจริงๆ
ระหว่างนั่งรถกันไป ทั้งผู้โดยสารและคนขับรถแท๊กซี่ สนทนากันถูกคอ โดยฝ่ายหญิงบอกว่าการทำงานเป็นอัยการของรัฐทำให้เธอกังวลมาก โชเฟอร์จึงเตือนอัยการคนสวยอย่าเครียดนัก เพราะหากให้ความเครียดมาครอบงำได้ จะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ให้ทำอย่างตัวเขาโดยไปพักผ่อนที่เกาะมัลดีฟสม่ำเสมอ
อัยการสาวได้ฟังก็หัวเราะ บอกว่าโชเฟอร์แท็กซี่ร่ำรวยมากหรือไงจ๊ะ? ถึงไปเที่ยวมัลดีฟได้ปีละหลายครั้ง หลายหน?
แท็กซี่หน้าตาทะเล้น ตอบอย่างครึกครื้น ว่า
“ทำไมจะไม่ได้” ว่าแล้วกระดกบังตาลง หยิบโปสการ์ดที่สอดไว้ ออกจากที่เก็บด้านหลังบังตา แล้วบอกกับสาวสวยตำแหน่งสูง ว่า
หากตัวเขาเหนื่อย ก็จอดรถพัก จ้องดูโปสการ์ดรูปเกาะมัลดีฟ แล้วหลับตาลง ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปในความฝันว่า
ตัวเองกำลังเดินอยู่ชายหาดอันสวยงามของมัลดีฟ แล้วลงไปว่ายน้ำดำผุดดำว่ายจนหนำใจ โดยผ่อนคลายใจกายอย่างเต็มที่ เพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เขาก็กลับมาสดชื่น เหมือนได้ไปมัลดีฟมาจริงๆ มีแรงและกำลัง ขับรถแท็กซี่ออกหากินต่อได้แล้ว
ฟังแล้ว ประทับใจมากจริงๆ!
เขียนมาถึงตรงนี้ อยากเชิญชวนผู้อ่าน ที่เคารพรักทุกท่าน นั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดที่บ้านหรือที่ทำงานของท่าน แล้วเอนกายตามสบาย กรุณาหลับตาลง พร้อมปล่อยจิตให้ว่าง และเมื่อใจของท่านสงบลงได้ที่ดีแล้ว โปรดสาวเท้าตามผู้เขียนมาเร็วๆ
โน่นไงครับ...
ยอดเอเวอเรสต์ขาวโพลนด้วยหิมะที่ปกคลุม กำลังอยู่เบื้องหน้าของเราแล้ว รีบปีนตาม “วาทตะวัน” ไปกันเถอะครับ
รวบรวมพลังกันให้เข้มแข็ง เราจะมุ่งหน้าไป เพื่อพิชิตยอดเขาอมตะลูกนี้ด้วยกัน
ต่อให้สูงเสียดฟ้า แต่ไม่ได้สูง...เกินฝัน!
...............
กินไปนั่งดูข่าวโทรทัศน์ไป เห็นข่าวของ เซอร์ เอ็ดมันด์ ฮิลลารี (Edmund Hillary) ชาวนิวซีแลนด์ ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไป เมื่อวันที่ ๑๑ ม.ค.๒๕๕๑ ที่ผ่านมาผู้พิชิตยอดเอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก บนเทือกเขาหิมาลัย ได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก พร้อมเทนซิง นอร์เกย์ (Tenzing Norgay) คู่หูชาวเชอร์ปา เนปาล
ตอบคำถามไปแล้ว ก็มีความรู้สึกขึ้นมา ว่า
เยาวชนคนรุ่นใหม่ของบ้านเรา มีความสนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล ที่ถือได้ว่าเป็น “คนของโลก” น้อยไปหน่อย
นี่ขนาดกำลังจะจบการศึกษา ไปเป็นวิศวกร อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วนะ!
เรื่องราวของบุคคลสำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา ผู้นำทางศาสนา นักคิด นักการเมือง การทหาร มหาบุรุษ วีรสตรี คีตกวี ฯลฯ น่าที่จะสนับสนุนให้มีการเรียนรู้ เกี่ยวกับท่านเหล่านั้นเอาไว้บ้าง เพื่อเด็กและเยาวชนของเรา จะได้รู้เรื่องราวของโลกอย่างกว้างขวาง แต่ความสำคัญในเรื่องนี้ในปัจจุบัน ได้รับความสนใจจากสังคมบ้านเรา น้อยลงไปหรือเปล่า?
หรือจะเป็นเพราะวิชาประวัติศาสตร์ จะด้อยความสำคัญลงไป ในยุคโลกาภิวัตน์ โดยมีการทิ้งน้ำหนักลงไป ให้กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มากกว่า?
ยังเป็นคำถาม ที่ต้องค้นหาคำตอบกัน
สำหรับชาติอื่นนั้น เกือบทุกประเทศ เขาให้นักเรียนนักศึกษา เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ค่อนข้างเข้มข้น เหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับ “บุคคลสำคัญ” ของประเทศตนเอง
อยากให้ดูอย่างสหรัฐอเมริกา เขาเน้นความสำคัญ ในการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติมาก แม้ว่าจะเพิ่งสร้างชาติมายังไม่ถึงสามร้อยปี
บ้านเขานั้น อย่าว่าแต่อัตชีวประวัติของประธานาธิบดี หรือนักการเมือง การทหาร นักคิดคนสำคัญ ฯลฯเลย แม้แต่ถ้อยคำต่างๆ หรือสุนทรพจน์ต่างๆที่สำคัญของท่านเหล่านั้น เยาวชนของเขาก็ท่องจนจำได้ แต่ในบ้านเรานั้น เด็กคนไหนที่จำพระราชดำรัสองค์สำคัญของพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี หรือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ปัจจุบันได้บ้าง?
คิดว่า น่าจะมีจำนวนไม่มากนัก!
ที่ผมทึ่งเด็กอเมริกันเอามากๆ ก็คือ
ความเอาใจใส่ในเรื่อง ปี พ.ศ. ของเหตุการณ์ ที่ทำให้ลำดับเรื่องราว ที่เกิดขึ้นก่อนหลังได้ง่ายๆ แต่การสอนของบ้านเรา ดูเหมือนจะละเลย ไม่เน้นย้ำในเรื่องนี้
ไม่ใช่แต่เพียงตัวเลขศักราชเท่านั้น เยาวชนหรือคนมีอายุอเมริกัน ต่างก็รักในการอ้างอิงถึงตัวเลขและสถิติต่างๆเป็นอย่างมาก ไม่ว่าในเรื่องสถิติในวงการกีฬา ตัวเลขการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ อัตราภาษี ฯลฯ คนอเมริกันให้ความสำคัญนัก
บ้านเมืองเราต้องเอาใจใส่ในเรื่องนี้ให้มาก มีโอกาสจะได้ว่ากันต่อไป
ตอนยังเป็นเด็กนั้น การที่ได้อยู่โรงเรียนประจำ ทำให้มีเวลาคุยกับเพื่อนฝูง หรือแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน มากกว่าเด็กโรงเรียนไปเช้าเย็นกลับ เป็นเด็กเล็กหน่อย ก็ฟังเด็กโตกว่าพูด พอโตขึ้นก็พูดให้เด็กเล็กฟังบ้าง
โชคดีที่ผมมีพี่ชายที่เรียนเก่ง ใฝ่ใจในการศึกษา อ่านหนังสือมากมาย ทำให้รอบรู้มากกว่าเด็กปกติ และเพราะการเรียนเก่งเอามากๆ เป็นที่ลือกันไปไกล พี่ของผมสอบได้ทุนของหนังสือพิมพ์นิวยอร์คเฮอรัลทรีบูน เป็นผู้แทนนักเรียนไทย ไปประชุมนักเรียนนานาชาติที่สหรัฐ ทุนนี้ใน พ.ศ.นั้น เป็นที่ปรารถนาของนักเรียนของโรงเรียนแถวหน้าเช่น เตรียมอุดมศึกษา สวนกุหลาบ คริสเตียน เซนต์กาเบรียล รวมทั้งโรงเรียนสตรีมีชื่อทั้งหลายด้วย
ทุนนี้ให้ปีละ ๑ คน เท่านั้น
ความสามารถอันน่าทึ่ง ทำให้พี่ชายโดดเด่น และเป็นโต้โผ ในการตั้งวงสนทนาเรื่องการบ้านการเมือง ขาประจำในการถกแถลงแสดงปัญญาแบบเด็กนักเรียน ก็มีที่เห็นๆอย่าง ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช, ดร.โกศัลย์ คูสำราญ สองนักการศึกษาคนสำคัญ พิมลศักดิ์ “เดอะแก่” สุวรรณทัต ผู้ที่มีบทบาทปัจจุบัน ในการกำกับดูแลโครงการในพระราชดำริ และตอนนี้เป็นเหรัญญิกมูลนิธิชัยพัฒนาด้วย ฯลฯเป็นต้น
ดร.ชัยอนันต์ฯเขียนถึงพี่ผม เอาไว้ในหนังสือของท่าน เท่าที่นึกได้คือหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาชื่อ “เพลิน” ขอแนะนำให้ลองไปหาอ่านดู
เวลามีข่าวสำคัญเกิดขึ้นในโลก พอพี่ชายอ่านข่าวเสร็จ ก็จะถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล ประเทศ หรือสถานที่ซึ่งข่าวสารอ้างถึง เป็นการเสริมความรู้ในข่าวสาร ให้กับกลุ่มพรรคพวกคงแก่เรียนทั้งหลาย
ผมก็พลอยได้ อานิสงส์ไปด้วย
ตอนเซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี พิชิตเอเวอเรสต์สำเร็จพร้อมเทนซิง นอร์เกย์ เป็นข่าวใหญ่มาก นักเรียนวชิราวุธฯรุ่นๆผม ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พอถึงวันเสาร์โรงเรียนจะฉายหนังในหอประชุมให้นักเรียนดู
ก่อนจะฉายหนังเรื่อง ก็มีภาพยนตร์ข่าวออกมาฉายให้ดูก่อน เป็นข่าวของสำนักข่าว “ปาเต๊ะ” (Pathe) สัญญาลักษณ์เป็นตราไก่ ออกมาสลัดขน โก่งคอร้อง “เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก” ก่อนเข้าข่าว และหนังมีการพากย์ไทยกำกับ
หนังข่าวในโรงภาพยนตร์ทั่วไป กับหนังข่าวที่นักเรียนวชิราวุธฯ ที่พวกผมได้ดูทุกค่ำวันเสาร์ ก็เป็นข่าวเดียวกัน
เรียกว่าอยู่โรงเรียนประจำก็จริง แต่ไม่ตกข่าวสารอย่างแน่นอน
ดังนั้น นักเรียนประจำอย่างเรา ได้เห็นรายงานรายละเอียดต่างๆ ของการพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลก ได้อย่างทันท่วงที ทำให้เด็กๆตื่นตัวมาก
ยังจำได้ว่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งพ่อแม่พาไปหัวหินทุกปี พาพี่น้องเดินขึ้นเขาตะเกียบ เพื่อเอาอย่างท่านเซอร์ พอกลับมาโรงเรียน เขาเล่าการผจญภัยให้เพื่อนฟังตามประสาเด็ก แต่ยืนยันหนักแน่นว่า จะไม่ไปแล้วเอเวอเรสต์ โดยให้เหตุผลสั้นๆว่า
“เหนื่อยว่ะ!”
อย่าว่าแต่เพื่อนเลย ข่าวนี้มันยังเร้าใจเด็กอย่างผมเสียเหลือเกิน ยังจำได้ว่าแม้
ตัวเองก็ยังเคยนอนฝันว่า
เดินฝ่าลมหนาวและพายุหิมะ ย่ำไปบนทางลาดชันที่ลื่นและอันตราย บนภูเขาเดียวกันกับที่ท่านเซอร์ และสหายชาวเชอร์ปา ทำสำเร็จมาแล้ว
ไม่ได้ฝันครั้งเดียวด้วย แต่ฝันถึงหลายครั้งทีเดียว บางครั้งก็ฝันว่า
ห้อยตัวเองโหนกวัดแกว่งอยู่กลางหน้าผาสูงชัน น่าหวาดเสียว แถมบางคืนยังฝันไกลไปว่า
ตัวเองพิชิต ยอดเขาเอเวอเรสต์...ได้สำเร็จอีกแน่ะ!!
ขนาดนั้นทีเดียวเชียว...ไม่ได้พูดเล่นนะ!!!...๕๕๕
การพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลก เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่ชอบผจญภัย ชอบความเสี่ยงและท้ายทาย มาพิสูจน์ความแข็งแรง และความพากเพียรด้วยการเอาชนะตัวเอง ในการบากบั่นไต่ขึ้นยอดเขา ที่เป็นตำนานอันลือลั่น
มาจนถึงวันนี้แล้ว นักผจญภัยจากทั่วทุกมุมโลก มุ่งตรงมาปีนป่าย และกลาย เป็นผู้พิชิตยอดเอเวอเรสต์ได้แล้วกว่า ๒,๐๐๐ คน บางคนเป็นผู้พิการด้วยซ้ำ!
บนความสำเร็จ ก็มีความล้มเหลว เพราะมีผู้เอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นกว่า ๒๐๐ คน!!
คนชาติอาเซียนบ้านใกล้เรือนเคียงกับเรา มีชาวมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ขึ้นยอดเอเวอเรสต์ สำเร็จแล้วหลายคน เช่น นายราวีชาวมาเลเซียปีนขึ้นทางทิเบต และคนชาติเดียวกับเขาอีกคน ชื่อนายวินเซนต์ โลฮ์ ขึ้นทางด้านเนปาล
ชาวฟิลลิปปินส์ชื่อนายลีโอ กลายเป็นตากาล๊อคคนแรก ที่พิชิตยอดเอเวอเรสต์สำเร็จ และคนของชาติเล็กๆอย่างสิงคโปร์ คือนายคู ซิ่ว เฉียว พิชิตยอดเขาที่มีชื่อเสียงแห่งนี้มาถึง ๒ ครั้งแล้ว แต่พอถึงครั้งที่ ๓ เขาพยายามจะไม่ใช้ออกซิเจนในการช่วยหายใจ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะทนไม่ไหว ต้องใช้ออกซิเจนช่วยในช่วงท้ายๆของการป่ายปีน
ผมเองหวังว่าคงมีโอกาสเห็นคนไทย เป็นผู้พิชิตยอดเขาลูกนี้กับเขาบ้าง อยากจะเห็นภาพผู้กล้าของคนไทย ขึ้นไปปักธงไตรรงค์ จุดเดียวกับเซอร์เอดมันด์ ฮิลลารี่ และสหายเทนซิง นอร์เก ได้บุกเบิกไว้
ดังนั้น เมื่อปลายปีที่แล้ว พอทางไอทีวีเขาประกาศว่า จะจัดการส่งทีมชาวไทย ไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองปี
มหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เจริญพระชนม์มายุ ครบ ๘๐ พระชันษา โดยจะถ่ายทอดให้ผู้ชมทางเมืองไทย ได้เห็นกันจะๆ
คนเขียนรู้สึกตื่นเต้น เอาใจช่วยเต็มที่ ทั้งได้ติดตามดูรายการตลอด!
แม้คณะของไอทีวี จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หากความสำคัญอยู่
ตรงที่ “ความพยายาม” แม้มันจะไม่สำเร็จ แต่ผมก็หวังลึกๆว่า ภาพที่ได้ถ่ายทอดมาสู่สายตาพี่น้องประชาชนนั้น จะเป็นเครื่องช่วยกระตุ้น ให้เกิดแรงบันดาลใจ กับเยาวชนคนรุ่นหลังต่อไป และหวังว่า
วันหนึ่งคนไทยเรา ต้องทำสำเร็จให้จงได้!!
ผมคิดว่า “ความฝัน” นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข ในกาแฟขมขนมหวานเล่มแรก ผมเคยพูดว่าคนยากจนนั้น ชอบดูภาพยนตร์ที่สนุกสุขสันต์ โรแมนติค แฮบปี้เอนดิ้ง พูดง่ายๆคือดูแล้วมีความสุข เพราะชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นั้น มันทุกข์ยากลำบากนัก
จึงเขียนเอาไว้ว่า
...ความฝันนั้นเป็นสิ่งดี เพราะคนเราสามารถมีทุกสิ่งได้ในฝัน และฝันนี่เองที่เติมพลัง ทำให้ชีวิตยืดยาวด้วยความหวัง ประเทศใดก็ตาม ที่ประชาชนจนยาก ล้าหลัง ภาพยนตร์ ลิเก หรือการแสดงที่คล้ายคลึงกัน จะเป็นที่ชื่นชอบมาก
การดูภาพยนตร์ ลิเก ทำให้เขาและเธอเหล่านั้น มีความฝันอันบรรเจิดเพริศพริ้ง เพราะจะได้เป็นพระเอก นางเอก เป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ และได้พบกับความรัก บันเทิงเริงสุข สมหวัง เหมือนตอนจบของเรื่อง ที่นางเอกพระเอก ได้ครองรักกันไปตราบชั่วกัลปาวสาน
แต่เมื่อหนังจบ ลิเกลาโรงเลิกแล้ว ก็กลับมาพบพานความจริงในชีวิต สิ่งที่หลงเหลือก็คือ การเก็บเอาความสุขในหนังหรือลิเกไปเป็นเชื้อเติมฝันกันต่อไป
ชีวิตเป็นดังนี้...
คนเรานั้น ควรสร้าง “ฝัน” ของตัวเอง แต่ต้องไม่เอาแต่ฝัน หากต้องมีความมุ่งมั่น ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ตามความฝันนั้นของตนด้วย
สิ่งที่จะเกื้อหนุน เป็นเหตุปัจจัย ให้เราไปไกลถึงฝันที่ตั้งไว้ คือ การไม่นำปัญหาในอดีตและ สิ่งที่ยังไม่เกิดในอนาคต มาเป็นตัวตั้ง ประกอบกับการมีสติ ไม่ประมาทและ
“ทำปัจจุบัน ให้ดีที่สุด!”
เพียงเท่านี้จะทำให้ตัวเอง และสังคมอยู่อย่างปกติและยั่งยืน เราเองก็จะก้าวไปสู่ความฝันที่ตั้งไว้ได้โดยสวัสดี
ก่อนจบบทความในวันนี้ อยากจะเล่าถึงภาพยนตร์ที่ชอบมาก และดูหลายครั้ง ชื่อเรื่อง Collateral ไม่ทราบว่าชื่อภาษาไทยว่าอะไร เพราะดูทางเคเบิล ทีวี
หนังเรื่องนี้ เจมี่ ฟอกซ์ (Jamie Foxx) เล่นเป็นแท๊กซี่ โชคร้ายที่ไปรับเอาผู้โดยสารที่เป็นนักฆ่าอาชีพ ซึ่งแสดงนำโดยทอม ครูซ (Tom Cruise) และจำต้องยอมขับรถให้ และพานักฆ่าไปสังหารผู้คนเสียหลายศพ แต่ก่อนที่แท็กซี่คันนี้จะรับผู้เป็นฆาตกรนั้น โชเฟอร์ได้รับอัยการสาวสวย และเป็นหนึ่งในเหยื่อสังหารด้วย โดยสารรถเขาไปที่สำนักงานของเธอ
อัยการคนหุ่นดีมีเสน่ห์คนนี้ นำแสดงโดย จาดา พินเก็ต สมิธ (Jada Pinkett Smith) รูปร่างงดงาม สวยระเบิดระเบ้อจริงๆ
ระหว่างนั่งรถกันไป ทั้งผู้โดยสารและคนขับรถแท๊กซี่ สนทนากันถูกคอ โดยฝ่ายหญิงบอกว่าการทำงานเป็นอัยการของรัฐทำให้เธอกังวลมาก โชเฟอร์จึงเตือนอัยการคนสวยอย่าเครียดนัก เพราะหากให้ความเครียดมาครอบงำได้ จะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ให้ทำอย่างตัวเขาโดยไปพักผ่อนที่เกาะมัลดีฟสม่ำเสมอ
อัยการสาวได้ฟังก็หัวเราะ บอกว่าโชเฟอร์แท็กซี่ร่ำรวยมากหรือไงจ๊ะ? ถึงไปเที่ยวมัลดีฟได้ปีละหลายครั้ง หลายหน?
แท็กซี่หน้าตาทะเล้น ตอบอย่างครึกครื้น ว่า
“ทำไมจะไม่ได้” ว่าแล้วกระดกบังตาลง หยิบโปสการ์ดที่สอดไว้ ออกจากที่เก็บด้านหลังบังตา แล้วบอกกับสาวสวยตำแหน่งสูง ว่า
หากตัวเขาเหนื่อย ก็จอดรถพัก จ้องดูโปสการ์ดรูปเกาะมัลดีฟ แล้วหลับตาลง ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปในความฝันว่า
ตัวเองกำลังเดินอยู่ชายหาดอันสวยงามของมัลดีฟ แล้วลงไปว่ายน้ำดำผุดดำว่ายจนหนำใจ โดยผ่อนคลายใจกายอย่างเต็มที่ เพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เขาก็กลับมาสดชื่น เหมือนได้ไปมัลดีฟมาจริงๆ มีแรงและกำลัง ขับรถแท็กซี่ออกหากินต่อได้แล้ว
ฟังแล้ว ประทับใจมากจริงๆ!
เขียนมาถึงตรงนี้ อยากเชิญชวนผู้อ่าน ที่เคารพรักทุกท่าน นั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดที่บ้านหรือที่ทำงานของท่าน แล้วเอนกายตามสบาย กรุณาหลับตาลง พร้อมปล่อยจิตให้ว่าง และเมื่อใจของท่านสงบลงได้ที่ดีแล้ว โปรดสาวเท้าตามผู้เขียนมาเร็วๆ
โน่นไงครับ...
ยอดเอเวอเรสต์ขาวโพลนด้วยหิมะที่ปกคลุม กำลังอยู่เบื้องหน้าของเราแล้ว รีบปีนตาม “วาทตะวัน” ไปกันเถอะครับ
รวบรวมพลังกันให้เข้มแข็ง เราจะมุ่งหน้าไป เพื่อพิชิตยอดเขาอมตะลูกนี้ด้วยกัน
ต่อให้สูงเสียดฟ้า แต่ไม่ได้สูง...เกินฝัน!
...............