เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว ทางถั่วกวนเจ้าอร่อยเป็นของหวาน ผมชอบทานเผือกกวน ถั่วกวน ข้าวฟ่างกวนฯลฯความชอบถั่วกวน เผือกกวน นี่ยังลามไปถึงขนมที่มีไส้ถั่ว-ไส้เผือกด้วย อย่างขนมไข่หงส์ (แต่ก่อนเขาเรียก ‘ไข่เหี้ย’ บ้านนอกก็ยังเรียกชื่อนี้อยู่) ซึงใช้ไส้ถั่วเขียว นี่ก็ของโปรดเลย เขาเอาถั่วไปนึ่งแล้วผัดกับพริก นำไปเกลือกเกลือกับน้ำตาลจนแห้ง ปั้นเป็นก้อนกลมเอาแป้งมาห่อ แล้วนำไปทอด กินตอนร้อนๆอร่อยมาก
วันนี้ ผมมีแง่มุมต้องเขียนเกี่ยวเรื่อง ‘ไข่เหี้ย’ และ ‘ไข่หงส์’ ให้ท่านได้อ่านกันสักนิด!
เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการลงประชามติ ได้มีการส่งร่างรัฐธรรมนูญที่พิมพ์เป็นเล่มให้ประชาชน เพื่อใช้เป็นข้อมูลตัดสินใจในการลงว่า
ควรลงประชามติ x กาเห็นชอบ หรือ x กาไม่เห็นชอบ กับร่างรัฐธรรมนูญ
ไม่รู้ว่าประชาชนชาวไทยที่ตามสถิติแล้ว อ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ ๗ บรรทัด ซึ่งคุณ
จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ท่านประกาศยุทธศาสตร์ ออกมาบอกให้ใจชื้นว่า จะรณรงค์ให้เพิ่มจาก ๗ บรรทัดเป็น ๑๒ บรรทัด แต่นั่นก็หวังผลในปีหน้า
แล้วอย่างนี้ ชาวบ้านของเราจะเร่งอ่าน สิ่งที่เรียกว่า ‘ร่างรัฐธรรมนูญ’ ความยาว ๑๙๔ หน้า บรรจุถ้อยคำมากกว่า ๕,๐๐๐ บรรทัด จบทันวันเลือกตั้งได้อย่างไรกัน?
ตามค่าเฉลี่ยแล้วจะอ่านจบได้ใน ๗๐๐ ปีเศษ หรือถ้าอ่านได้เร็วอย่างคุณจรวยพรฯว่า ก็กินเวลากว่า ๔๐๐ ปี!
มาถึงเวลานี้ จะอ่านได้เสร็จทันหรือไม่อย่างไรนั้น ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกแล้ว เพราะยังไงก็ต้องไปลงมติตามกำหนด ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าแล้ว
รัฐบาลใช้งบประมาณมากมาย ทุ่มไปกับการโฆษณาชวนเชื่อ ทางสื่อต่างๆ ไม่วางทางวิทยุ โทรทัศน์ รวมทั้งให้ส่วนราชการต่างๆ ช่วยกันออกไปชักขวนขาวบ้าน ให้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญกัน
สื่อต่างๆ พากันวิจารณ์ว่า นายกฯ เขายายเที่ยงกับรัฐบาลโลซกนี้ ได้แสดงท่าทีน่าไม่วางตนเป็นกลาง ไม่ยอมปล่อยให้ชาวบ้าน ใช้ความคิดของตัวเองอย่างเป็นอิสระ ว่า
นอกจากจะไม่รักษาความเป็นกลางแล้ว ยังดันทำเจ้ากี้เจ้าการออกสติ๊กเกอร์ มีข้อความชักจูงให้ลงมติ ‘เห็นชอบ’ หรือยอมรับร่างรัฐธรรมนูญกันอีก แต่พอมีเสียงสื่อทักท้วง ก็ออกมายอมรับเสียงอ่อยแต่โดยดีว่า
“ผิดพลาดไปแล้ว!”
ที่ว่าผิดเพราะทำไม่เหมาะ ดันไปออกสติ๊กเกอร์ โฆษณาชวนเชื่อจูงใจชาวบ้าน ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ การลงประชามติครั้งนี้ว่าเป็น
“ประชามติ-ลวงโลก”
แม้รับมีการปากว่า จะไม่แจกจ่ายอีกต่อไป แต่ไอ้ที่พิมพ์ออกมามีจำนวน ๕ หมื่นแผ่น หนังสือพิมพ์บอกว่าใช้เงินไปนับล้านบาท แต่ทางสำนักนายกฯโดยรัฐมนตรีไร้กึ๋น แถมเรตติ้งยังต่ำที่สุด ดันออกมาบอกว่าใช้ไป ๓ แสนบาทเท่านั้น
เมื่อสื่อและประชาชน ทักท้วงเข้าว่าน่าเกลียด เพราะทำให้รัฐบาลดูไม่เป็นกลาง จึงได้ประกาศยุติการแจกจ่ายสติ๊กเกอร์เฮงซวยแล้ว แต่ลอยหน้าลอยตาออกมาแถลง ว่า
ได้แจกจ่าย เรียบร้อยไปแล้ว ๑ หมื่นแผ่น...ดูมันทำ !!
ไม่ใช่แค่เรื่องสติ๊กเกอร์ห่วยแตกนี่เท่านั้น แต่งานประจานรัฐบาลชุดนี้ยังมีพูดกันถึงอีก เช่นรายการ ‘จมูกมด’ ที่คุณ ‘หว่อง’ หรือ พิสิทธิ์ กีรติการกุล กับพรรคพวก มีคุณพิษณุ นิลกลัด และคุณกนก รักวงษ์สกุล มานั่งคุยกันในตอนเช้าๆ
รุ่นพี่ของผมชอบ ๓ วัยรุ่นผู้ดำเนินรายการท่าน ให้ฉายาว่า ‘ทรีมัสเกเตียร์’ เพราะลูกหยอด ลูกรับ-ตบ-โต้เข้ากันดี ดูแล้วสบายใจ เพลินเหมือนดูหนังเรื่อง‘สามทหารเสือ’ แต่วันนั้นขาด ‘วูแมน-ดาร์ตาญัง’ คือคุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง ไม่ทราบว่าหายไปไหน
วันศุกร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทะแกล้วทหารสามเกลอ ได้สนทนาถึงเรื่องเชิญชวนไปลงมติ ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันคือ รัฐบาลนี้แสดงท่าทีชัดเจนว่า อยากให้ประชาชนลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญ และพูดถึงเหตุที่ทำให้ชาวบ้านนินทากัน ถึงความไม่โปร่งใส ว่า

หนังสือร่างรัฐธรรมนูญ ที่พิมพ์แจกชาวบ้าน ได้มีการไปจ้างเอกชนพิมพ์ต่อ มีส่วนต่างกันถึงเล่มละ ๗ บาท สงสัยว่าจะมีการทุจริตกันบานเบิกเอิกเกริก ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบ ระหว่างสมาชิกสภาโจร หรือเจ้าหน้าที่สภา ซึ่งหลังจากนั้นสื่อต่างๆก็ออกมา วิจารณ์ถล่มกันแหลกลาญ ว่า
งานเดียวก็กะเอารวยกันตายชักกันเลย หรือไงวะ? เพราะแค่หัวคิวเล่มละ ๑ บาท ก็ได้เงินถึง ๒๐ ล้านแล้ว นี่ตะบันงาบกันถึงเล่ม ๗ บาท ไม่รู้ว่าอดอยากปากแห้ง มาแต่ไหนกัน
บางคนบอกว่า พวกนี้เข้ามายังไม่ทันไร หางก็โผล่ออกมาให้เห็นแดงโร่แล้ว ส่วนคนที่ใจร้อนถึงกับพูดใส่ ว่า
“ไอ้พวกเวรนี่ ยัดทานกันเหลือกำลัง หาแดกกันได้ แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ !”
นี่ไงครับ...ความโปร่งใส ภายใต้เผด็จการประชาธิปไตย!!...๕๕๕
ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่เขาวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู พูดจากันดุเดือดขนาดนี้เลยจริงๆ แม้จะฟังระคายโสตอยู่บ้าง แต่ตัดสินใจนำมาถ่ายทอดให้ท่านฟัง แถมคนพูดเขายังบอกอีก ว่า
ยุคโจรปล้นประชาธิปไตยมันครองเมือง มันต้องพูดใส่กันให้เต็มพิกัด อย่าไปพูดอะไรแบบกล้ากลัวๆ
เดี๋ยวไอ้พวกโจร มันจะได้ใจ !!!
ความเห็นในเรื่องการเห็นชอบ หรือไม่เห็นร่างรัฐธรรมนูญ ของผู้คนในบ้านเมือง ตอนนี้มันแบ่งออกเป็นสองขั้ว ค่อนข้างชัดเจน คล้ายกับการเรียกชื่อขนมที่ผมชอบกิน
คนใน กทม.เรียกว่า ‘ไข่หงส์’ ให้เป็นสิริมงคล
ส่วนชาวบ้านต่างจังหวัด มักเรียกอย่างคุ้นเคยว่า ‘ไข่เหี้ย’ เพราะรูปลักษณ์มันเหมือนไข่สัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ที่คนไทยเห็นเป็น ‘ตัวอัปมงคล’ มาแต่โบราณจริงๆ
ฝ่ายที่เห็นชอบ หรือสมัครใจรับร่างรัฐธรรมนูญ ก็มี คมช. บวกกับ สสร. ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ ผสมกับลิ่วล้อ คมช. อย่างสมาชิกสภาทหารบัญญัติ ผนวกกับพรรคการเมืองที่เป็น ลกป. ของ คมช. ซึ่งอยากมีการเลือกตั้งเหลือกำลังลาก เพราะอดอยากปากไหม้ด้วยว่างเว้นจากการเป็นรัฐบาลกันมานานแล้ว
พวกนี้ต้องการให้ผู้คนลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง ได้พยายามทุกอย่าง ถึงขั้นลงทุนออกมาชี้นำให้ผู้คนเห็น ว่า
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น ดีเหลือเกิน คงเหมือนกัน ‘ไข่หงส์’ ที่ทรงค่า ประชาชนควรร่วมกันฟูมฟัก จะได้เติบโตขึ้นมาเป็นหงส์เหมราช ที่ผิวกายอร่ามเหลืองประเทืองทองสำหรับชาติประชาธิปไตย และเป็นศรีสง่ากับประเทศไทยสืบต่อไป
จึงสมควรลงมติ ‘รับ’ ด้วยการกากบาท “เห็นชอบ” ร่างกฎหมายฉบับนี้กันไปเลย!
สำหรับฝ่ายที่ไม่ยอมรับร่างเหมือนพวกแรก มองต่างไปโดยเห็นว่าร่างกฎหมายนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่ผลิตผลของ ‘แก๊งโจร’ ที่เข้ามา ‘ปล้นประชาธิปไตย’ ไปจากประชาชน แล้วล้มระบอบประชาธิปไตย ด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประเทศของเรากำลังจะมีการเลือกตั้ง ถึงขนาดมีการยิงสปอตโทรทัศน์ โฆษณาหาเสียงกันแล้ว
ฝ่ายที่ไม่ยอมรับร่างนี้มองว่า นอกจากปล้นประชาธิปไตยแล้ว ไอ้พวกโจรมันยังตั้ง
‘สภาโจร ๑’ ของตนขึ้นมาบัญญัติกฎหมายออกมาใช้เองอีก ฝ่ายนี้เขาบอกว่า...
กฎหมาย คำสั่งหรือประกอบ ที่ออกมาโดยพวกโจรแก๊งโจรปล้นประชาธิปไตย ไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย เพราะไม่มีความชอบธรรม ที่จะออกมาใช้บังคับกับผู้คนได้
สำหรับสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ฝ่ายต่อต้านเผด็จการก็เห็นว่า เป็น ‘สภาโจร ๒’ ซึ่งคณะโจรปล้นประชาธิปไตย ตั้งของพวกมันขึ้นมาเอง เพื่อทำการยกร่างรัฐธรรมนูญของพวกตน ซึ่งก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกนั่นแหละ
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ มีความเชื่ออย่างแข็งแรงทีเดียวว่า สิ่งที่สภาโจร ๒ ร่างออกมานั้น จะใช้ชื่อว่าอะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่รัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้มาจากประชาชน ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับที่มาจากประชาชนนั้น ไอ้พวกโจรมันได้ฉีกเรียบร้อยไปแล้ว
กลุ่มต่อต้านโจรปล้นประชาธิปไตย เขายังมองต่อไปอีก ว่า
สิ่งที่เรียกกันว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะให้ลงประชามติกันนั้น หาใช่เป็นของสูงเช่น
‘ไข่หงส์’ อย่างพวกที่เห็นด้วยคิดกัน เพราะฝ่ายที่รักประชาธิปไตยนั้น กลับแลเห็นว่า
มันคือของต่ำช้า เป็นแค่ ‘ไข่เหี้ย’ เท่านั้น เพราะเป็นผลิตผลของ ‘พวกเหี้ย’ ที่บุกรุกเข้ามา กินไก่ในเล้าประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชน ไปจนหมดสิ้น
กินเสร็จสรรพไม่พอ ยังเสือกไข่ทิ้งเอาไว้ อีกเยอะแยะ!
พวกเขาสงสัยกันเหลือเกินว่า ไอ้ลิ้นสองแฉกพวกนี้ กะจะขยายพันธ์เหี้ย ให้ถือกำเนิดเกิดมาในบ้านเมืองของเรา เพื่อจะได้ลักกินไก่ประชาธิปไตยของชาวบ้าน ไม่มีที่สิ้นสุดกันอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้น ประชาชนฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร ที่มีความเชื่ออย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ได้แพร่ความคิดการต่อต้านโจรปล้นประชาธิปไตย ไปในทุกภูมิภาคของประเทศ ทั้งในกลุ่มชาวบ้านธรรมดา นักวิชาการ และบุคคลในทุกสาขาอาชีพ สร้างความตื่นตัวให้กับสังคมเป็นอย่างมาก ส่วนเหตุที่ต้องลุกขึ้นต่อสู้
คนพวกนี้เขาอธิบาย ให้เหตุผลว่า
ไม่มีหลักประกันอันใดเลย ที่จะเชื่อได้ว่า แก๊งโจรกับพวกนี้ จะไม่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ที่พวกมันทำทีเป็นร่างกันขึ้นมาเอง ซ้ำอีกครั้ง
ประวัติศาสตร์เผด็จการ เตือนใจประชาชนชาวไทย...ก็มีให้เห็นๆกันอยู่แล้ว!
การปฏิเสธรัฐธรรมนูญฉบับ ‘ไข่เหี้ย’ นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการเลือกตั้งตามกำหนดวันเวลาที่พวกโจรระบุ เพราะอย่างไรเสีย ก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ ซึ่งคงไม่เลวร้ายกว่าฉบับร่างนี้หรอก เพราะขืนพวกปล้นอำนาจไปจากประชาชน เอารัฐธรรมนูญฉบับไหนมาก็ตาม และเพิ่มเติมความระยำ ด้วยการใส่ส่วนไม่เป็นประชาธิปไตยเข้าไปอีก แล้วนำออกมาบังคับใช้กับพี่น้องประชาชน
คนในชาติจะไม่มีวันยินยอมอีกเด็ดขาด รับรองว่าการต่อต้าน รวมทั้งการเดินขบวนขนาดใหญ่ จะต้องติดตามมาอย่างแน่แท้
คนที่จะฉิบหายก็คือ...พวก คมช.นั่นเอง!
ดังนั้น ฝ่ายชิงชังพวกโจรที่ปล้นอำนาจไปจากประชาชน จึงมุ่งมั่นที่จะแสดงการ ‘ปฏิเสธ’ ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของการต่อสู้ โดยมีนัยยะสำคัญ คือ
- เป็นการปฏิเสธ คมช. ไม่ยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร อีกต่อไป!
- เป็นการท้าทายระบบเผด็จการ และรัฐบาลโลซกลกเจ๊ก ที่พวกโจรหนุนหลังโดยตรง!!
ตรงนี้ต่างหาก ที่กลุ่มนี้เขาบอกว่า สำคัญกว่ามาก!!!
ระยะนี้บทความตามสื่อต่างๆ ได้แสดงการต่อต้านเผด็จการ ออกมาหลายต่อหลายต่อหลายชิ้น นอกจากนั้น ยังมีบทกวีที่เขียนได้ดี เร่งปลุกให้พี่น้องประชาชน ให้รวมใจกันเป็นหนึ่ง ลุกขึ้นมาต่อต้านพวกยึดอำนาจจากประชาชน และเขียนกันได้ดีทีเดียว
ดูอย่างคอลัมน์ชื่อ ‘กวี-กระวาด’ เขียนโดยคุณ ชนะ คำมงคล ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ ๑๔๐๔ ประจำเดือน กรกฎาคม ๒๕๕๐ นี้เอง
คุณชนะเขียนล้อบทกวีของ “เจ้าขุนทวย”ของคุณสุดจิตต์ วงษ์เทศ ที่เขียนไว้ก่อน ว่า
“นั่งรถยนต์เรไร นั่งรถไฟรถแคมรี่
ส่งเสียงอยู่อึงมี่ ว่าเจ้าขุนทอง เจ้าขุนทวย*”....ตรงนี้เป็นบทกลอนของคุณ
สุดจิตต์ วงษ์เทศ
ต่อไปนี้ เป็นบทกวีของคุณชนะ คำมงคล ซึ่งร้อยกรองเอาไว้ว่า
“เจ้าขุนทองยังไม่มา เห็นแต่หน้าเจ้าขุนทวย
กำลังร่างรัดทำมะนวย ฉวยอำนาจประชาชน ”
คุณชนะมองเห็นว่า การกระทำของพวกใช้กำลังล้มรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการยกร่างขึ้นมาใหม่ คือการฉกฉวยอำนาจไปจากประชาชนนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับความคิด ของพี่น้องชาวไทยเราอีกจำนวนมากมาย
คุณชนะจึงไม่ยอมเรียก สิ่งที่กำลังจะยัดเยียดให้ประชาชนลงประชามติ ว่าเป็นรัฐธรรมนูญ หากแต่เรียกขานใหม่ ว่า
“รัดทำมะนวย”
คราวนี้ เราลองมองย้อนกลับไปดูมุ่งหากำไร จากการพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญบ้าง
การแสวงหาหากำไร ของฝ่ายจัดการเรื่องการพิมพ์นั้น พวกเขาไม่มีหน้าที่ทำกำไร เพราะเป็นงานของหลวง และไม่ใช่พ่อค้าที่ต้องการ “บวกกำไร” จากการค้า ที่ทำกันเป็นปกติ
ที่ทุจริตกันอย่างเหลือเกิน เพราะไอ้พวกนี้มันหน้าด้าน แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบมากกว่าการบวกกำไร ตามธรรมเนียมของการค้าไปหลายกว่าตัว ถึงขั้นควรเรียกว่าเป็นการ “คูณกำไร” กันเลยทีเดียว หรืออาจพูดภาษาชาวบ้าน ให้ฟังได้ง่ายๆ คือ
การทำมาหารับประแดกหรือคอรัปชั่นกันเต็มพิกัด อย่างน่าเกลียดน่าชังนัก นั่นเอง!
ว่ากัน อย่างนั้นเถอะ
คุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเคยทำงานใกล้ชิด และมีความสนิทสนมกับ ‘อาจารย์หม่อม’ ท่านผู้นี้พูดกับผมว่า
หาก “ซือแป๋” ยังมีชีวิตอยู่ และได้อ่านบทกวีของคุณชนะ คำมงคล อีกทั้งท่านเห็นความชั่วร้ายในการ “คูณกำไร” ของการแสวงหาหาประโยชน์ จากการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ ที่นำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนครั้งนี้
ท่านอาจารย์ใหญ่ แห่งอาศรมสวนพลู มองพฤติกรรมน่ารังเกียจแล้ว คงส่ายศีรษะพร้อมกับคิดว่า
คนพวกนี้ ‘คูณ’ ได้เก่งจริงๆ และมันก็เอาแต่คูณๆๆ ไม่ได้คูณไปไหนหรอก แต่มันดันคูณเอาเข้ากระเป๋าที่ละ ๖-๗ เท่าของการค้าปกติ นอกจากไม่ได้ลงทุนเองแล้ว ยังไม่เคยคิดถึงการ“คืนกำไร” ให้ประชาชนอีกด้วย มุ่งหน้าเอาแต่ “คูณกำไร” อย่างไม่ลืมหูลืมตา
อย่างนี้ “ซือแป๋” ท่านต้องบอก ว่า
“ไอ้พวกนี้ มันเป็นพวก ‘หัวคูณ’ ขนานแท้!”
ดังนั้น เสาหลักประชาธิปไตยอย่างท่านอาจารย์หม่อม ผู้มั่งคั่งรุ่มรวยถ้อยคำภาษาไทย สำหรับใช้วิพากษ์วิจารณ์ พวกที่ชอบขัดใจประชาชน ท่านอาจตึงตังขึ้นมา แล้วให้ฉายาโดยต่อสร้อยเสริม‘รัดทำมะนวย’ ของคุณชนะ คำมงคล ด้วยความขัดเคืองอย่างยิ่ง ว่าเป็น
“รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ!!”
อืมม์...ผมฟังท่านผู้ใกล้ชิดกับอาจารย์หม่อมพูดแล้ว เห็นว่ามีเหตุผล น่าจะนำมาใคร่ครวญกันทีเดียว เพราะไอ้พวกเวรนี้ มันแสวงหาประโยชน์จาก ‘รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ’ ด้วยการก้มหน้าก้มตา คูณกำไร...คูณๆๆและคูณกันจริงๆด้วย!!!
อย่างไรก็ตาม ก่อนจบ ผมขออนุญาตกราบเรียนท่านผู้อ่าน ว่า
เวลาของการลงประชามติ ใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านผู้อ่านจะออกไปใช้สิทธิหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นสิทธิอันชอบธรรม ไม่มีใครเขามาบังคับท่านได้
ถ้าคิดว่า ตัวท่านเองอยากได้ ‘ไข่หงส์’ เพราะเห็นเป็นของมีประโยชน์ที่ดีวิเศษยิ่ง ก็จงกาช่อง ‘เห็นชอบ’ ไปตามความคิดเห็นของตัวเองเถิด ไม่มีใครเขามาว่าท่านอีกนั่นแหละ

หากท่านทั้งหลายเห็นว่า ‘รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ’ นี้ แท้ที่จริงมันไม่ใช่
‘ไข่หงส์’ ทั้งยังเป็นไม่ได้แม้กระทั่ง ‘ไข่ห่าน’ ตามคำของพวกฝ่ายต่อต้าน
เพราะดันกลายเป็น ‘ไข่เหี้ย’ พันธ์ ‘ฟันดำ’ ขนานแท้ ไปเรียบร้อยแล้ว!
หากท่านผู้อ่าน เห็นคล้อยตามคำของฝ่ายขับไล่พวกรัฐประหาร โดยเกรงว่า
ไอ้พวกที่ฝ่ายต่อต้านเรียกว่า เหี้ยปล้นประชาธิปไตย จะฉวยโอกาสขยายเผ่าอัปรีย์ และพันธ์จังไร ของพวกมันให้กว้างขวางออกไป ถึงขั้นแพร่ลูกแพร่หลาน ออกมาเพ่นพ่าน ยั้วเยี้ย เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทั้งได้ใจแห่กันเข็นรถถังสนิมเขลอะ ออกมาข่มขู่ วางก้าม ชักปืนขึ้นมากวัดแกว่ง ปล้นบ้านเมืองเราซ้ำแล้วซ้ำอีก...ไม่มีที่สิ้นสุด
การกระทำเช่นนั้น รังแต่จะนำพาประเทศชาติที่รักของเรา ไปสู่ความเศร้าหมอง ถูกดูถูกดูแคลนจากนานาชาติในสังคมโลก รวมทั้งนำความลำบากยากเข็ญ มาสู่พี่น้องประชาชนชาวไทย
จนบ้านเมืองเกือบถึงกาลแตกแยก ป่นปี้พินาศฉิบหาย อย่างที่เคยปรากฏมาแล้ว!
ถ้าอย่างนั้น ขออย่าได้รอช้าทีเดียวเชียว
จงกา X ตรงช่อง ‘ไม่เห็นชอบ’ ไปตามความเห็นของตน!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
วันอาทิตย์ ๑๙ ส.ค.๒๕๕๐ นี้ กรุณาออกไปลงประชามติ โดยพร้อมเพรียงกัน
เพราะไม่ว่า ‘รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ’ มันจะเป็น ‘ไข่หงส์’ หรือ ‘ไข่เหี้ย’
บัดนี้...ได้ตกอยู่ในกำมือของท่าน เรียบร้อยแล้ว...ครับกระผม!!!
*************
วันนี้ ผมมีแง่มุมต้องเขียนเกี่ยวเรื่อง ‘ไข่เหี้ย’ และ ‘ไข่หงส์’ ให้ท่านได้อ่านกันสักนิด!
เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการลงประชามติ ได้มีการส่งร่างรัฐธรรมนูญที่พิมพ์เป็นเล่มให้ประชาชน เพื่อใช้เป็นข้อมูลตัดสินใจในการลงว่า
ควรลงประชามติ x กาเห็นชอบ หรือ x กาไม่เห็นชอบ กับร่างรัฐธรรมนูญ
ไม่รู้ว่าประชาชนชาวไทยที่ตามสถิติแล้ว อ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ ๗ บรรทัด ซึ่งคุณ
จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ท่านประกาศยุทธศาสตร์ ออกมาบอกให้ใจชื้นว่า จะรณรงค์ให้เพิ่มจาก ๗ บรรทัดเป็น ๑๒ บรรทัด แต่นั่นก็หวังผลในปีหน้า
แล้วอย่างนี้ ชาวบ้านของเราจะเร่งอ่าน สิ่งที่เรียกว่า ‘ร่างรัฐธรรมนูญ’ ความยาว ๑๙๔ หน้า บรรจุถ้อยคำมากกว่า ๕,๐๐๐ บรรทัด จบทันวันเลือกตั้งได้อย่างไรกัน?
ตามค่าเฉลี่ยแล้วจะอ่านจบได้ใน ๗๐๐ ปีเศษ หรือถ้าอ่านได้เร็วอย่างคุณจรวยพรฯว่า ก็กินเวลากว่า ๔๐๐ ปี!
มาถึงเวลานี้ จะอ่านได้เสร็จทันหรือไม่อย่างไรนั้น ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกแล้ว เพราะยังไงก็ต้องไปลงมติตามกำหนด ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าแล้ว
รัฐบาลใช้งบประมาณมากมาย ทุ่มไปกับการโฆษณาชวนเชื่อ ทางสื่อต่างๆ ไม่วางทางวิทยุ โทรทัศน์ รวมทั้งให้ส่วนราชการต่างๆ ช่วยกันออกไปชักขวนขาวบ้าน ให้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญกัน
สื่อต่างๆ พากันวิจารณ์ว่า นายกฯ เขายายเที่ยงกับรัฐบาลโลซกนี้ ได้แสดงท่าทีน่าไม่วางตนเป็นกลาง ไม่ยอมปล่อยให้ชาวบ้าน ใช้ความคิดของตัวเองอย่างเป็นอิสระ ว่า
นอกจากจะไม่รักษาความเป็นกลางแล้ว ยังดันทำเจ้ากี้เจ้าการออกสติ๊กเกอร์ มีข้อความชักจูงให้ลงมติ ‘เห็นชอบ’ หรือยอมรับร่างรัฐธรรมนูญกันอีก แต่พอมีเสียงสื่อทักท้วง ก็ออกมายอมรับเสียงอ่อยแต่โดยดีว่า
“ผิดพลาดไปแล้ว!”
ที่ว่าผิดเพราะทำไม่เหมาะ ดันไปออกสติ๊กเกอร์ โฆษณาชวนเชื่อจูงใจชาวบ้าน ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ การลงประชามติครั้งนี้ว่าเป็น
“ประชามติ-ลวงโลก”
แม้รับมีการปากว่า จะไม่แจกจ่ายอีกต่อไป แต่ไอ้ที่พิมพ์ออกมามีจำนวน ๕ หมื่นแผ่น หนังสือพิมพ์บอกว่าใช้เงินไปนับล้านบาท แต่ทางสำนักนายกฯโดยรัฐมนตรีไร้กึ๋น แถมเรตติ้งยังต่ำที่สุด ดันออกมาบอกว่าใช้ไป ๓ แสนบาทเท่านั้น
เมื่อสื่อและประชาชน ทักท้วงเข้าว่าน่าเกลียด เพราะทำให้รัฐบาลดูไม่เป็นกลาง จึงได้ประกาศยุติการแจกจ่ายสติ๊กเกอร์เฮงซวยแล้ว แต่ลอยหน้าลอยตาออกมาแถลง ว่า
ได้แจกจ่าย เรียบร้อยไปแล้ว ๑ หมื่นแผ่น...ดูมันทำ !!
ไม่ใช่แค่เรื่องสติ๊กเกอร์ห่วยแตกนี่เท่านั้น แต่งานประจานรัฐบาลชุดนี้ยังมีพูดกันถึงอีก เช่นรายการ ‘จมูกมด’ ที่คุณ ‘หว่อง’ หรือ พิสิทธิ์ กีรติการกุล กับพรรคพวก มีคุณพิษณุ นิลกลัด และคุณกนก รักวงษ์สกุล มานั่งคุยกันในตอนเช้าๆ
รุ่นพี่ของผมชอบ ๓ วัยรุ่นผู้ดำเนินรายการท่าน ให้ฉายาว่า ‘ทรีมัสเกเตียร์’ เพราะลูกหยอด ลูกรับ-ตบ-โต้เข้ากันดี ดูแล้วสบายใจ เพลินเหมือนดูหนังเรื่อง‘สามทหารเสือ’ แต่วันนั้นขาด ‘วูแมน-ดาร์ตาญัง’ คือคุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง ไม่ทราบว่าหายไปไหน
วันศุกร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทะแกล้วทหารสามเกลอ ได้สนทนาถึงเรื่องเชิญชวนไปลงมติ ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันคือ รัฐบาลนี้แสดงท่าทีชัดเจนว่า อยากให้ประชาชนลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญ และพูดถึงเหตุที่ทำให้ชาวบ้านนินทากัน ถึงความไม่โปร่งใส ว่า
หนังสือร่างรัฐธรรมนูญ ที่พิมพ์แจกชาวบ้าน ได้มีการไปจ้างเอกชนพิมพ์ต่อ มีส่วนต่างกันถึงเล่มละ ๗ บาท สงสัยว่าจะมีการทุจริตกันบานเบิกเอิกเกริก ไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบ ระหว่างสมาชิกสภาโจร หรือเจ้าหน้าที่สภา ซึ่งหลังจากนั้นสื่อต่างๆก็ออกมา วิจารณ์ถล่มกันแหลกลาญ ว่า
งานเดียวก็กะเอารวยกันตายชักกันเลย หรือไงวะ? เพราะแค่หัวคิวเล่มละ ๑ บาท ก็ได้เงินถึง ๒๐ ล้านแล้ว นี่ตะบันงาบกันถึงเล่ม ๗ บาท ไม่รู้ว่าอดอยากปากแห้ง มาแต่ไหนกัน
บางคนบอกว่า พวกนี้เข้ามายังไม่ทันไร หางก็โผล่ออกมาให้เห็นแดงโร่แล้ว ส่วนคนที่ใจร้อนถึงกับพูดใส่ ว่า
“ไอ้พวกเวรนี่ ยัดทานกันเหลือกำลัง หาแดกกันได้ แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ !”
นี่ไงครับ...ความโปร่งใส ภายใต้เผด็จการประชาธิปไตย!!...๕๕๕
ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่เขาวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู พูดจากันดุเดือดขนาดนี้เลยจริงๆ แม้จะฟังระคายโสตอยู่บ้าง แต่ตัดสินใจนำมาถ่ายทอดให้ท่านฟัง แถมคนพูดเขายังบอกอีก ว่า
ยุคโจรปล้นประชาธิปไตยมันครองเมือง มันต้องพูดใส่กันให้เต็มพิกัด อย่าไปพูดอะไรแบบกล้ากลัวๆ
เดี๋ยวไอ้พวกโจร มันจะได้ใจ !!!
ความเห็นในเรื่องการเห็นชอบ หรือไม่เห็นร่างรัฐธรรมนูญ ของผู้คนในบ้านเมือง ตอนนี้มันแบ่งออกเป็นสองขั้ว ค่อนข้างชัดเจน คล้ายกับการเรียกชื่อขนมที่ผมชอบกิน
คนใน กทม.เรียกว่า ‘ไข่หงส์’ ให้เป็นสิริมงคล
ส่วนชาวบ้านต่างจังหวัด มักเรียกอย่างคุ้นเคยว่า ‘ไข่เหี้ย’ เพราะรูปลักษณ์มันเหมือนไข่สัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ที่คนไทยเห็นเป็น ‘ตัวอัปมงคล’ มาแต่โบราณจริงๆ
ฝ่ายที่เห็นชอบ หรือสมัครใจรับร่างรัฐธรรมนูญ ก็มี คมช. บวกกับ สสร. ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ ผสมกับลิ่วล้อ คมช. อย่างสมาชิกสภาทหารบัญญัติ ผนวกกับพรรคการเมืองที่เป็น ลกป. ของ คมช. ซึ่งอยากมีการเลือกตั้งเหลือกำลังลาก เพราะอดอยากปากไหม้ด้วยว่างเว้นจากการเป็นรัฐบาลกันมานานแล้ว
พวกนี้ต้องการให้ผู้คนลงประชามติ รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง ได้พยายามทุกอย่าง ถึงขั้นลงทุนออกมาชี้นำให้ผู้คนเห็น ว่า
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นั้น ดีเหลือเกิน คงเหมือนกัน ‘ไข่หงส์’ ที่ทรงค่า ประชาชนควรร่วมกันฟูมฟัก จะได้เติบโตขึ้นมาเป็นหงส์เหมราช ที่ผิวกายอร่ามเหลืองประเทืองทองสำหรับชาติประชาธิปไตย และเป็นศรีสง่ากับประเทศไทยสืบต่อไป
จึงสมควรลงมติ ‘รับ’ ด้วยการกากบาท “เห็นชอบ” ร่างกฎหมายฉบับนี้กันไปเลย!
สำหรับฝ่ายที่ไม่ยอมรับร่างเหมือนพวกแรก มองต่างไปโดยเห็นว่าร่างกฎหมายนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงแค่ผลิตผลของ ‘แก๊งโจร’ ที่เข้ามา ‘ปล้นประชาธิปไตย’ ไปจากประชาชน แล้วล้มระบอบประชาธิปไตย ด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประเทศของเรากำลังจะมีการเลือกตั้ง ถึงขนาดมีการยิงสปอตโทรทัศน์ โฆษณาหาเสียงกันแล้ว
ฝ่ายที่ไม่ยอมรับร่างนี้มองว่า นอกจากปล้นประชาธิปไตยแล้ว ไอ้พวกโจรมันยังตั้ง
‘สภาโจร ๑’ ของตนขึ้นมาบัญญัติกฎหมายออกมาใช้เองอีก ฝ่ายนี้เขาบอกว่า...
กฎหมาย คำสั่งหรือประกอบ ที่ออกมาโดยพวกโจรแก๊งโจรปล้นประชาธิปไตย ไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย เพราะไม่มีความชอบธรรม ที่จะออกมาใช้บังคับกับผู้คนได้
สำหรับสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น ฝ่ายต่อต้านเผด็จการก็เห็นว่า เป็น ‘สภาโจร ๒’ ซึ่งคณะโจรปล้นประชาธิปไตย ตั้งของพวกมันขึ้นมาเอง เพื่อทำการยกร่างรัฐธรรมนูญของพวกตน ซึ่งก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกนั่นแหละ
กลุ่มบุคคลเหล่านี้ มีความเชื่ออย่างแข็งแรงทีเดียวว่า สิ่งที่สภาโจร ๒ ร่างออกมานั้น จะใช้ชื่อว่าอะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่รัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้มาจากประชาชน ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับที่มาจากประชาชนนั้น ไอ้พวกโจรมันได้ฉีกเรียบร้อยไปแล้ว
กลุ่มต่อต้านโจรปล้นประชาธิปไตย เขายังมองต่อไปอีก ว่า
สิ่งที่เรียกกันว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ที่จะให้ลงประชามติกันนั้น หาใช่เป็นของสูงเช่น
‘ไข่หงส์’ อย่างพวกที่เห็นด้วยคิดกัน เพราะฝ่ายที่รักประชาธิปไตยนั้น กลับแลเห็นว่า
มันคือของต่ำช้า เป็นแค่ ‘ไข่เหี้ย’ เท่านั้น เพราะเป็นผลิตผลของ ‘พวกเหี้ย’ ที่บุกรุกเข้ามา กินไก่ในเล้าประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชน ไปจนหมดสิ้น
กินเสร็จสรรพไม่พอ ยังเสือกไข่ทิ้งเอาไว้ อีกเยอะแยะ!
พวกเขาสงสัยกันเหลือเกินว่า ไอ้ลิ้นสองแฉกพวกนี้ กะจะขยายพันธ์เหี้ย ให้ถือกำเนิดเกิดมาในบ้านเมืองของเรา เพื่อจะได้ลักกินไก่ประชาธิปไตยของชาวบ้าน ไม่มีที่สิ้นสุดกันอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้น ประชาชนฝ่ายต่อต้านรัฐประหาร ที่มีความเชื่ออย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ได้แพร่ความคิดการต่อต้านโจรปล้นประชาธิปไตย ไปในทุกภูมิภาคของประเทศ ทั้งในกลุ่มชาวบ้านธรรมดา นักวิชาการ และบุคคลในทุกสาขาอาชีพ สร้างความตื่นตัวให้กับสังคมเป็นอย่างมาก ส่วนเหตุที่ต้องลุกขึ้นต่อสู้
คนพวกนี้เขาอธิบาย ให้เหตุผลว่า
ไม่มีหลักประกันอันใดเลย ที่จะเชื่อได้ว่า แก๊งโจรกับพวกนี้ จะไม่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ที่พวกมันทำทีเป็นร่างกันขึ้นมาเอง ซ้ำอีกครั้ง
ประวัติศาสตร์เผด็จการ เตือนใจประชาชนชาวไทย...ก็มีให้เห็นๆกันอยู่แล้ว!
การปฏิเสธรัฐธรรมนูญฉบับ ‘ไข่เหี้ย’ นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการเลือกตั้งตามกำหนดวันเวลาที่พวกโจรระบุ เพราะอย่างไรเสีย ก็จะต้องมีรัฐธรรมนูญขึ้นมาใช้ ซึ่งคงไม่เลวร้ายกว่าฉบับร่างนี้หรอก เพราะขืนพวกปล้นอำนาจไปจากประชาชน เอารัฐธรรมนูญฉบับไหนมาก็ตาม และเพิ่มเติมความระยำ ด้วยการใส่ส่วนไม่เป็นประชาธิปไตยเข้าไปอีก แล้วนำออกมาบังคับใช้กับพี่น้องประชาชน
คนในชาติจะไม่มีวันยินยอมอีกเด็ดขาด รับรองว่าการต่อต้าน รวมทั้งการเดินขบวนขนาดใหญ่ จะต้องติดตามมาอย่างแน่แท้
คนที่จะฉิบหายก็คือ...พวก คมช.นั่นเอง!
ดังนั้น ฝ่ายชิงชังพวกโจรที่ปล้นอำนาจไปจากประชาชน จึงมุ่งมั่นที่จะแสดงการ ‘ปฏิเสธ’ ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของการต่อสู้ โดยมีนัยยะสำคัญ คือ
- เป็นการปฏิเสธ คมช. ไม่ยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร อีกต่อไป!
- เป็นการท้าทายระบบเผด็จการ และรัฐบาลโลซกลกเจ๊ก ที่พวกโจรหนุนหลังโดยตรง!!
ตรงนี้ต่างหาก ที่กลุ่มนี้เขาบอกว่า สำคัญกว่ามาก!!!
ระยะนี้บทความตามสื่อต่างๆ ได้แสดงการต่อต้านเผด็จการ ออกมาหลายต่อหลายต่อหลายชิ้น นอกจากนั้น ยังมีบทกวีที่เขียนได้ดี เร่งปลุกให้พี่น้องประชาชน ให้รวมใจกันเป็นหนึ่ง ลุกขึ้นมาต่อต้านพวกยึดอำนาจจากประชาชน และเขียนกันได้ดีทีเดียว
ดูอย่างคอลัมน์ชื่อ ‘กวี-กระวาด’ เขียนโดยคุณ ชนะ คำมงคล ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ ๑๔๐๔ ประจำเดือน กรกฎาคม ๒๕๕๐ นี้เอง
คุณชนะเขียนล้อบทกวีของ “เจ้าขุนทวย”ของคุณสุดจิตต์ วงษ์เทศ ที่เขียนไว้ก่อน ว่า
“นั่งรถยนต์เรไร นั่งรถไฟรถแคมรี่
ส่งเสียงอยู่อึงมี่ ว่าเจ้าขุนทอง เจ้าขุนทวย*”....ตรงนี้เป็นบทกลอนของคุณ
สุดจิตต์ วงษ์เทศ
ต่อไปนี้ เป็นบทกวีของคุณชนะ คำมงคล ซึ่งร้อยกรองเอาไว้ว่า
“เจ้าขุนทองยังไม่มา เห็นแต่หน้าเจ้าขุนทวย
กำลังร่างรัดทำมะนวย ฉวยอำนาจประชาชน ”
คุณชนะมองเห็นว่า การกระทำของพวกใช้กำลังล้มรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการยกร่างขึ้นมาใหม่ คือการฉกฉวยอำนาจไปจากประชาชนนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับความคิด ของพี่น้องชาวไทยเราอีกจำนวนมากมาย
คุณชนะจึงไม่ยอมเรียก สิ่งที่กำลังจะยัดเยียดให้ประชาชนลงประชามติ ว่าเป็นรัฐธรรมนูญ หากแต่เรียกขานใหม่ ว่า
“รัดทำมะนวย”
คราวนี้ เราลองมองย้อนกลับไปดูมุ่งหากำไร จากการพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญบ้าง
การแสวงหาหากำไร ของฝ่ายจัดการเรื่องการพิมพ์นั้น พวกเขาไม่มีหน้าที่ทำกำไร เพราะเป็นงานของหลวง และไม่ใช่พ่อค้าที่ต้องการ “บวกกำไร” จากการค้า ที่ทำกันเป็นปกติ
ที่ทุจริตกันอย่างเหลือเกิน เพราะไอ้พวกนี้มันหน้าด้าน แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบมากกว่าการบวกกำไร ตามธรรมเนียมของการค้าไปหลายกว่าตัว ถึงขั้นควรเรียกว่าเป็นการ “คูณกำไร” กันเลยทีเดียว หรืออาจพูดภาษาชาวบ้าน ให้ฟังได้ง่ายๆ คือ
การทำมาหารับประแดกหรือคอรัปชั่นกันเต็มพิกัด อย่างน่าเกลียดน่าชังนัก นั่นเอง!
ว่ากัน อย่างนั้นเถอะ
คุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเคยทำงานใกล้ชิด และมีความสนิทสนมกับ ‘อาจารย์หม่อม’ ท่านผู้นี้พูดกับผมว่า
หาก “ซือแป๋” ยังมีชีวิตอยู่ และได้อ่านบทกวีของคุณชนะ คำมงคล อีกทั้งท่านเห็นความชั่วร้ายในการ “คูณกำไร” ของการแสวงหาหาประโยชน์ จากการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ ที่นำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนครั้งนี้
ท่านอาจารย์ใหญ่ แห่งอาศรมสวนพลู มองพฤติกรรมน่ารังเกียจแล้ว คงส่ายศีรษะพร้อมกับคิดว่า
คนพวกนี้ ‘คูณ’ ได้เก่งจริงๆ และมันก็เอาแต่คูณๆๆ ไม่ได้คูณไปไหนหรอก แต่มันดันคูณเอาเข้ากระเป๋าที่ละ ๖-๗ เท่าของการค้าปกติ นอกจากไม่ได้ลงทุนเองแล้ว ยังไม่เคยคิดถึงการ“คืนกำไร” ให้ประชาชนอีกด้วย มุ่งหน้าเอาแต่ “คูณกำไร” อย่างไม่ลืมหูลืมตา
อย่างนี้ “ซือแป๋” ท่านต้องบอก ว่า
“ไอ้พวกนี้ มันเป็นพวก ‘หัวคูณ’ ขนานแท้!”
ดังนั้น เสาหลักประชาธิปไตยอย่างท่านอาจารย์หม่อม ผู้มั่งคั่งรุ่มรวยถ้อยคำภาษาไทย สำหรับใช้วิพากษ์วิจารณ์ พวกที่ชอบขัดใจประชาชน ท่านอาจตึงตังขึ้นมา แล้วให้ฉายาโดยต่อสร้อยเสริม‘รัดทำมะนวย’ ของคุณชนะ คำมงคล ด้วยความขัดเคืองอย่างยิ่ง ว่าเป็น
“รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ!!”
อืมม์...ผมฟังท่านผู้ใกล้ชิดกับอาจารย์หม่อมพูดแล้ว เห็นว่ามีเหตุผล น่าจะนำมาใคร่ครวญกันทีเดียว เพราะไอ้พวกเวรนี้ มันแสวงหาประโยชน์จาก ‘รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ’ ด้วยการก้มหน้าก้มตา คูณกำไร...คูณๆๆและคูณกันจริงๆด้วย!!!
อย่างไรก็ตาม ก่อนจบ ผมขออนุญาตกราบเรียนท่านผู้อ่าน ว่า
เวลาของการลงประชามติ ใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านผู้อ่านจะออกไปใช้สิทธิหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นสิทธิอันชอบธรรม ไม่มีใครเขามาบังคับท่านได้
ถ้าคิดว่า ตัวท่านเองอยากได้ ‘ไข่หงส์’ เพราะเห็นเป็นของมีประโยชน์ที่ดีวิเศษยิ่ง ก็จงกาช่อง ‘เห็นชอบ’ ไปตามความคิดเห็นของตัวเองเถิด ไม่มีใครเขามาว่าท่านอีกนั่นแหละ
หากท่านทั้งหลายเห็นว่า ‘รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ’ นี้ แท้ที่จริงมันไม่ใช่
‘ไข่หงส์’ ทั้งยังเป็นไม่ได้แม้กระทั่ง ‘ไข่ห่าน’ ตามคำของพวกฝ่ายต่อต้าน
เพราะดันกลายเป็น ‘ไข่เหี้ย’ พันธ์ ‘ฟันดำ’ ขนานแท้ ไปเรียบร้อยแล้ว!
หากท่านผู้อ่าน เห็นคล้อยตามคำของฝ่ายขับไล่พวกรัฐประหาร โดยเกรงว่า
ไอ้พวกที่ฝ่ายต่อต้านเรียกว่า เหี้ยปล้นประชาธิปไตย จะฉวยโอกาสขยายเผ่าอัปรีย์ และพันธ์จังไร ของพวกมันให้กว้างขวางออกไป ถึงขั้นแพร่ลูกแพร่หลาน ออกมาเพ่นพ่าน ยั้วเยี้ย เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ทั้งได้ใจแห่กันเข็นรถถังสนิมเขลอะ ออกมาข่มขู่ วางก้าม ชักปืนขึ้นมากวัดแกว่ง ปล้นบ้านเมืองเราซ้ำแล้วซ้ำอีก...ไม่มีที่สิ้นสุด
การกระทำเช่นนั้น รังแต่จะนำพาประเทศชาติที่รักของเรา ไปสู่ความเศร้าหมอง ถูกดูถูกดูแคลนจากนานาชาติในสังคมโลก รวมทั้งนำความลำบากยากเข็ญ มาสู่พี่น้องประชาชนชาวไทย
จนบ้านเมืองเกือบถึงกาลแตกแยก ป่นปี้พินาศฉิบหาย อย่างที่เคยปรากฏมาแล้ว!
ถ้าอย่างนั้น ขออย่าได้รอช้าทีเดียวเชียว
จงกา X ตรงช่อง ‘ไม่เห็นชอบ’ ไปตามความเห็นของตน!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
วันอาทิตย์ ๑๙ ส.ค.๒๕๕๐ นี้ กรุณาออกไปลงประชามติ โดยพร้อมเพรียงกัน
เพราะไม่ว่า ‘รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ’ มันจะเป็น ‘ไข่หงส์’ หรือ ‘ไข่เหี้ย’
บัดนี้...ได้ตกอยู่ในกำมือของท่าน เรียบร้อยแล้ว...ครับกระผม!!!