เช้าวันนี้...ผมนั่งจิบกาแฟขมไร้ขนมหวาน เพราะอยู่ในบ้านหลังสุดท้ายของรุ่นพีที่รักกันนัก มองผ่านหน้าต่างห้องนอนเห็นสายฝนโปรยปรายลงมา จากห้องนอนมองเห็นหมู่ไม้และขุนเขารายล้อมทั้งด้านหน้าและหลังบ้าน ยามใกล้อรุณรุ่งได้อย่างมัวซัวคล้ายภาพถ่าย เจ้าของบ้านเปิดเพลงบรรเลงฝรั่งฟังโรแมนติคดี แต่ใจผมกลับไพล่ไปถึงเพลง “หยาดน้ำฝน หยดน้ำตา” ซึ่งเป็นเพลงเอกของคุณเนรัญชลา ทำนองโดย ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร์ ร้องโดย ธานินทร์ อินทรเทพ เนื้อร้องไพเราะมาก ทั้งกึ่งเศร้ากึ่งสุข ขึ้นต้นว่า
หยาดน้ำจากตานางฟ้าที่ตรมอารมณ์ หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ในใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝนฉ่ำใจ ...
ฝนนั้นจะมองเป็นหยดน้ำตาก็คงพอมองได้ สำหรับกวีหรือผู้มีความหลังฝังใจ แต่พระพิรุณโปรยมา ก็เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตบรรดาสรรพสัตว์ในโลก แต่สำหรับผู้ผ่านชีวิตมายาวนานกว่าหกสิบของวสันตฤดูนั้น ชีวิตช่วงนี้ ดูเหมือนอาทิตย์ยามอัศดงเสียมากกว่า
ที่ผมบอกว่า เป็นบ้านหลังสุดท้ายของรุ่นพี่ เพราะตัวเจ้าของเองมีมาแล้วก็หลายหลัง มีแล้วขาย ไม่ก็ยกให้ผู้หญิงตอนเลิกกันไป แต่เรือนที่อยู่ท่านกลางธรรมชาติอันงดงามนี้ แม้จะไม่ใหญ่โตเอิกเกริกแต่กลับมีความร่มเย็น เนื้อที่กว้างขวางหลายสิบไร่ ท่ามกลางแมกไม้และเนินเขาใหญ่น้อย เหมาะสำหรับผู้มีวัยเลยเกษียณอายุจะมาอยู่อย่างสงบ ยามบั้นปลายชีวิต
ที่ผมพูดเรื่องการเกษียณอายุขึ้นมาก็เพราะ ขณะที่ท่านอ่านคอลัมน์นี้ เป็นต้นเดือนสิงหาคม ข้าราชการที่กำลังจะเกษียณอายุจะเหลือเวลาอีกไม่ถึง ๖๐ วัน หรือแค่สองเดือนก็จะออกไป มีชีวิตเป็นข้าราชการบำนาญ นอกจากนั้นยังมีพนักงานรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่ทำงานในบริษัทเอกชน ซึ่งมีอายุงานแค่หกสิบเท่ากับราชการ จำต้องออกมาอยู่กับบ้าน และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไป โดยส่วนใหญ่ไม่มีงานประจำ
เมื่อผมรับราชการใหม่ๆ ไม่มีข้อแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้เกษียณอายุราชการ จนกระทั่งเพิ่งเมื่อประมาณสิบปีเศษนี้เอง เริ่มมีผู้พูดถึงการดำเนินชีวิตหลังเกษียณมากขึ้น มีข้อแนะนำต่างๆ สำหรับผู้ที่จะครบกำหนดอายุงาน ออกมาอยู่กับลุกหลานที่บ้าน
บุคคลที่เอาใจใส่ในเรื่องผู้ที่กำลังเกษียณอายุ และได้แสดงความเป็นห่วงใยของกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้มาสม่ำเสมอ คือ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ โดยคุณชายจะให้ข้อแนะนำกับแฟนรายการ ‘ครอบจักรวาล’ ของท่าน ที่กำลังจะเกษียณเป็นประจำทุกปี ซึ่งมีประโยชน์มาก
จำได้ว่าหน่วยราชการที่เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก คือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งมีการจัดการอบรมในการดำเนินชีวิตหลังเกษียณ ให้กับกำลังพลของกองทัพ ผู้ครบอายุการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติบ้านเมืองมายาวนาน รวมทั้งครอบครัวทหาร ที่จะต้องดูแลหัวหน้าครอบครัว ซึ่งต่อจากนี้จะต้องออกมาอยู่กับบ้านด้วย ส่วนจะมีหน่วยราชการอื่นทำบ้างหรือไม่ผมไม่ทราบ
เวลาคนหนุ่ม-สาวใหม่เข้ารับราชการ มักจะมีการอบรมก่อนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรียกกันว่าปฐมนิเทศ หลังจากรับราชการแล้วก็จะได้รับการฝึกอบรมระหว่างการทำงาน ที่เรียกกันว่า In Service Training
น่าแปลก ไม่เคยมีการอบรมก่อนที่จะพ้นราชการ ด้วยเหตุเกษียณอายุ แต่ผมทราบว่าทางธนาคารออมสิน มีโครงการที่ผมชอบใจมาก เรียกว่า โครงการปัจฉิมนิเทศ ที่ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตหลังเกษียณกับพนักงานผู้ครบอายุงาน และยังพาไปทัศนะศึกษาต่างจังหวัด เป็นการตอบแทนพนักงาน ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของธนาคารสำคัญแห่งการออมของชาติแห่งนี้ ด้วยความดีมาโดยตลอด นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก
เมื่อมีปฐมนิเทศได้ ก็ควรมีปัจฉิมนิเทศ ตอนจะลาชีวิตในองค์กรด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ น่าจะนำไปเป็นตัวอย่างทีเดียว
อายุของผู้คนในประเทศต่างๆในยุคปัจจุบัน ยืนยาวมากกว่าเดิม เพราะความเจริญทางการแพทย์ หากเราไปดูภาพถ่ายของข้าราชการในยุครัชกาลที่ ๔ เมื่อการถ่ายรูปยังเป็นของใหม่ ข้าราชการที่มีอายุ ๓๐-๔๐ ปี ฟันฟางก็หักเกือบหมดปากกันแล้ว
คนโบราณอย่าง Monalisa สาวที่ว่ากันว่าสวยนักสวยหนานั้น ทันตแพทย์บางคนลงความเห็นว่า ฟันกรามน่าจะไม่มี เพราะแก้มบุ๋มลงไป จนดูคล้ายเป็นลักยิ้มโผล่ขึ้นมา กลับกลายเป็นเสน่ห์ให้คนคลั่งไคล้เข้าไปอีก !
ปัจจุบันพวกหมอชาวญี่ปุ่น มักจะมีคำกล่าวว่า คนเรานั้นสามารถจะมีอายุยืนได้โดยไม่ต้องแก่ ฟังแล้วก็งง แถมเขายังบอกต่ออีกว่า หากถึงคราวแก่ก็แก่อย่างสง่างาม แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ แม้ว่าเราจะมีอายุยืนยาว แต่ไม่มีใครอยากจะอยู่อย่างคนแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้
ดังนั้น ยุคนี้มนุษย์เราจึงได้พยายามกันอย่างหนัก เพื่อที่จะรักษาสุขภาพ รักษาร่างกายให้หนุ่มสาวอยู่เสมอ บรรดาพวกอาหารเสริม ยาบำรุงต่างๆ จึงขายดิบขายดีกันในหมู่ผู้สูงอายุ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับคุณผู้ชาย คือยาเพิ่มพลังทางเพศ ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นจำเป็นของชายชาตรีอาวุโสทั้งหลายที่ใจคึกคัก ยาประเภท “ไว-ไว-ควิก-ควิก” แม้ราคาสูง แต่ผู้คนไม่ย่อท้อ ขวนขวายหามารับประทานกัน ทำให้บริษัทยาและเภสัชกรร่ำรวยกันมาก
ที่กินเข้าไปได้ผลก็มี ไม่ได้ผลก็มาก หรือกินแล้วตายก็ไม่น้อย กระนั้นบรรดาชายสูงอายุ ที่ยังเห็นเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นสาระสำคัญที่สุดในแห่งชีวิต ก็หาได้มีความครั่นคร้ามอย่างใดไม่ ยอมเอาชีวิตตนเข้าเสี่ยงกับการเสพสมในยามสูงวัยนี้ให้ได้ ถึงจะเป็นเพียงเพื่อความสุขชั่วครั้งคราวและอาจมีอันตรายถึงชีวิตแบบ ถึงตายก็ยอม นับว่าลงทุนสูงมาก !
ในทัศนะของผมกลับเชื่อว่า ถ้าเรารักษาสุขภาพให้ดี ออกกำลังไม่ขาด มีอารมณ์ที่แจ่มใสอยู่เสมอ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี การมีกิจกรรมแบบที่กล่าวมาสม่ำเสมอคงเส้นคงวา เท่ากับตอนเป็นหนุ่ม ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่อย่างว่าแหละครับ ร่างกายคนเหมือนกันซะเมื่อไหร่ กินอยู่อย่างเดียวกัน แต่คนหนึ่งตายทีหลังอีกคนมีให้เห็นเยอะแยะ
เรื่องการรับประทานนั้น ตอนนี้มีผู้มีความรู้ทางโภชนาการ ออกมาแนะนำกันหลายตำราหลากความเห็น แต่ถีงกระนั้นเรื่องความเชื่อในเรื่องยาวิเศษ ที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวมากขึ้นก็ยังดำรงอยู่ ทำให้คนเราได้พยายามเสาะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า "ยาอายุวัฒนะ" มาตลอด เพื่อหายาที่มีสรรพคุณแสนวิเศษ ที่ทำให้ผู้สูงวัยกลับมามีชีวิตที่กระชุ่มกระชวยได้ใหม่
หากท่านผู้ใดค้นคว้ายาชนิดนี้อยู่ ก็ขอให้ประสพความสำเร็จ เผื่อตัวคนเขียนเองอาจจำเป็นต้องใช้จะได้ไปขอปันมาบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีความต้องการถึงขนาดนั้น
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตัวคนเขียนคอลัมน์ ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง คือ พลโท ปุ่น วงศ์วิเศษ ซึ่งผมสัมภาษณ์ท่านใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๐๕ “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่ ?” กรุณามอบหนังสือ วันครบรอบอายุ ๙๐ ปีของท่าน ชื่อ “๙ ทศวรรษของชีวิตผม” ซึ่งได้เล่าเรื่องชีวิตของตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กอยู่บ้าน ‘ไทยพวน’ ที่จังหวัดสุโขทัย เข้ามาเรียนกรุงเทพ สอบได้เป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก และออกมารับราชการตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๗ ออกสนามรบในสงครามอินโดจีน รบกับทหารฝรั่งเศส ซึ่งก็ได้รับชัยชนะ และได้ดินแดนที่ถูกฝรั่งเศสยึดเอาไปกลับคืนมา แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เราก็ต้องคืนดินแดนกลับไปให้เช่นเดิม
พอสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นบุก พลโท ปุ่น วงษ์วิเศษ ได้ทำหน้าที่นายทหารไทยประสานงานกับกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งมีกรณีขัดแย้งกันหลายครั้งหลายหน ระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับทหารญี่ปุ่น ถึงกับยิงกันตายก็มีจนเกือบกลายเป็นเหตุวิกฤติลุกลาม แต่ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนสงครามสงบลง
เมื่อเกิดสงครามเกาหลี ได้มีการจัดตั้งองค์การทหารผ่านศึก ท่านเป็นผู้เข้าร่วมบุกเบิกงานการจนองค์กรแห่งนี้เป็นปึกแผ่น จนได้ตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรผ่านศึก ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งราชองครักษ์ และเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง ผอ.องค์การทหารผ่านศึก มาตั้งแต่ ปีพ.ศ. ๒๕๑๘ นับถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา ๓๐ ปีเต็มแล้ว
หลังจากเกษียณอายุ พลโท ปุ่น วงษ์วิเศษ ได้รับเชิญเป็นประธานบริษัทหลายแห่ง เช่นบริษัทชลประทานซีเมนต์ และบริษัทอื่นอีกหลายแห่ง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะท่านมีความสามารถในการบริหารงานสูงในการจัดการองค์กร เหนืออื่นใดท่านเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม ทำให้กิจการของบริษัทเหล่านั้นรุ่งเรืองและดำเนินไปด้วยดี
ถึงวันนี้ด้วยวัย ๙๐ ต้นๆ ท่านยังทำงานทุกวันที่ โรงเรียนอนุบาลสี่พี่น้อง ในซอยทองหล่อ สุขุมวิท ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว จนโรงเรียนเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ปกครองแถบถนนสุขุมวิท นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมของเพื่อนฝูงมาตลอด ส่วนบุตรีก็ก้าวหน้าในชีวิตราชการถึงชั้นอธิบดีกรมสำคัญ ซึ่งน่าชื่นใจมาก แม้อยู่ในวัยสูงอายุแล้ว ท่านมีความทรงจำยอดเยี่ยม ยังออกกำลังเล่นกอล์ฟทุกสัปดาห์ เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่ง คือ พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ก่อตั้งและอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่ถูกคุณบรรหาร ยึดเข้าเมืองสุพรรณ-บ้านแจ่มใส ไปเรียบร้อยแล้ว
ผมเห็นท่าน พลโท ปุ่น วงศ์วิเศษ คราใด ให้คิดถึงคำกล่าวของ พลเอก ดักกลาส แมคอาเธอร์ (General Douglas MacArthur) แม่ทัพใหญ่ด้านปาซิฟิค ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐ และผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี ได้กล่าวในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาสหรัฐ เมื่อ ๑๙ เมษายน ๒๔๙๔ ภายหลังจากถูกปลดออกจากตำแหน่ง โดยประธานาธิบดี Harry S. Truman (แฮรี่ เอช ทรูแมน) ว่า
....The world has turned over many times since I took the oath on the plain at West Point, and the hopes and dreams have long since vanished, but I still remember the refrain of one of the most popular barracks ballads of that day which proclaimed most proudly that old soldiers never die; they just fade away....
ใช่แล้วครับ ทหารเก่า...ไม่มีวันตาย...เพียงแค่เลือนหายไป...เท่านั้น

หากการที่คนเราเกษียณอายุราชการแล้ว ได้ทำงานใหม่อย่างเต็มที่ เสมือนว่า เราได้เลือนหายจากภาคหนึ่งของชีวิตแล้ว กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในหน้าที่การงานอื่นน่าจะดี เพราะจะช่วยให้เราไม่หงอยเหงา มีสติปัญญาเข้มแข็งเหมือนเดิม หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ เช่นพลโท ปุ่น วงศ์วิเศษ เป็นตัวอย่างที่ดียิ่ง หรืออาจเปรียบไปก็คล้ายกับว่า
เราเคยเป็นเสมือนดวงอาทิตย์ พอค่ำลงก็ตกจากขอบฟ้าไปลง สภาพความเป็นดวงสุริยะของตัวเองอาจสูญสิ้น แต่ถ้าได้กลับกลายไปเกิดเป็นดาราดวงใหม่ ขึ้นมาประดับบนท้องฟ้า สาดส่องแสงเป็นประโยชน์กับเพื่อร่วมโลกคนอื่นต่อไป พูดอย่างสำนวนยี่เกก็คงว่า.... “ตะวันจะเคลื่อนคล้อย หรือ ดาวน้อยจะทอแสง !”.... ว่าเข้าไปนั่น !
เหมือนกับชีวิตมิตรของผมอีกคนหนึ่ง ดวงตะวันในชีวิตราชการจบแสงลงแล้ว แต่อีกอาชีพหนึ่งของเขากำลังจะทอแสงขึ้นมาแล้ว
เพื่อนคนนี้คือ พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท (นามสกุลของเขาได้รับพระราชทาน แปลว่า
“ผู้มีใจห่วงใยในแผ่นดิน”) แต่ฉายาที่คนรู้จักกัน ว่า “เอลวิส-บางปะหัน” เพราะบ้านเดิมเขาอยู่ตำบลหันสัง อำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา ซึ่งผมเขียนเอาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอน ๑๑๓ “เป็น เอลวิส-ลูกทุ่ง ถ้าไม่รุ่ง จะมุ่ง วุฒิฯ”
ก่อนเกษียณอายุราชการ เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจเป็นนักร้องลูกทุ่งอย่างเต็มที่ โดยเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การหัดร้องเพลง เรียนกีตาร์ รวมทั้งไปตัดชุด ‘เอลวิส’ จากร้านเดียวกับนักร้องต้นแบบที่สหรัฐ หวังใจว่าจะเป็นดาวของวงการเพลงลุกทุ่งผู้โด่งดังให้ได้
เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ผมคาด เพราะเขาเริ่มต้นช้าไปนิด คือไปเริ่มตอนอายุ ๕๙ ถนนหนทางไปเป็นดารา แห่งวงการลูกทุ่งเสียงทองดูจะตีบตัน แต่เขาไม่เคยหมดกำลังใจ
ตอนนี้ “เอลวิส-บางปะหัน” กลับมาบุกแหลกในด้านการเป็นเครือข่ายต่อต้านยาเสพติด และมีรายการวิทยุเป็นของตนเอง ที่คลื่น AM ๙๙๙ ของกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ เวลาดี สี่ทุมตรง ปรากฏว่ารายการของเขาคึกคักมีคนสนใจติดตาม ให้ข้อมูลและเบาแสต่างๆมากจนน่าแปลกใจ
ตอนนี้กำลังจะมีผู้เข้าร่วมรายการมากหน้าหลายตา เช่นคุณยาว อยุธยา เป็นต้น ซึ่งรายการอย่างนี้จะช่วยภาครัฐ ในด้านกำราบปราบปรามพวกค้ายาและพวกเสพยาได้เป็นอย่างดี
ผมจึงยุให้เพื่อนลงสมัครเป็นวุฒิสมาชิก เพราะหากเข้าไปในสภาก็จะเป็นปากเป็นเสียงให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ลูกหลานมีแนวโน้มจะหันไปใช้ยาเสพติด ได้เป็นอย่างดีเพราะเขามีความรอบรู้ในยุทธจักรนี้อย่างหาตัวจับยาก
ระหว่างมียศนายพลตำรวจตรี ในฐานะผู้บังคับการตำรวจนครบาล แม้มุ่งมั่นทำงานในฐานะผู้รักษาความสงบเรียบร้อย เข้าพิชิตคดีสำคัญ และควบคู่กันไปกับการปราบปราม เขาก็เริ่มโครงการช่วยเหลือประชาชน ด้วยการจัดตั้งชมรมต่อต้านยาเสพติด ทำให้มีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านเขตหนองแขม ประเวศ และเขตรามคำแหง ซึ่งบัดนี้เป็นชมรมที่เขาเป็นส่วนสำคัญในการก่อตั้ง เป็นปึกแผ่นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง พอเขาได้รับตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ชมรมก็กลายเป็น “สมาคมพลังแผ่นดินต่อต้านยาเสพติด” เพราะฝีมือและแรงจูงใจของ

ผู้บังคับการตำรวจ...หัวใจเอลวิส เพรสลีย์ คนนี้ !
ตอนนี้เขาเป็นายกสมาคมฯ ได้จัดทีมงานลงพื้นที่สดับตรับฟังปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดในทุกพื้นที่ ภายใต้โครงการของสมาคมพลังแผ่นดินฯ ที่เขาเป็นประธานอยู่ นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก
หวังใจว่าเพื่อนคนนี้จะเกิดใหม่เป็น “ดาววุฒิสภา” แทนการเป็นดาราแห่งวงการลูกทุ่งไทยแลนด์แดนปลาทู ที่ดูเหมือนว่าความหวังริบหรี่ไปแล้ว เพราะเหลือแต่ไปออกงานบุญงานกุศลซึ่งไม่ได้ค่าตัวซ้ำต้องจ่ายเจ้าภาพอีกก็มี บางครั้งวันรำลึกที่ เอลวิส เพรสลีย์ แฟนคลับ ในประเทศไทยเขาจัดชุมนุมกัน จึงจะได้เชิญ “เอลวิส-บางปะหัน” ไปออกลีลาโยกและคลึงกับเขาบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งไม่พอต่อการยืดเส้นยืดสายของคนไฟยังแรงอย่างเขาคนนี้ !
ผมคุยออกความเห็นว่า เขาน่าจะลงสมัคร ส.ส .ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่เจ้าตัวกลับพึมพำบอกว่า
“จะลงสมัครพรรครัฐบาล เขาก็มีตัวเต็มแล้ว จะไปสมัครเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็อาจไปแพ้คนเก่าชองพรรครัฐบาลเขา”
“ดีแล้ว...” ผมให้ความเห็นบ้าง ก่อนบอกต่อว่า
“ถ้าสมัครในนามพรรคฝ่ายค้าน ถึงได้รับเลือกไป ป่านนี้คุณน้าก็ต้องกลายเป็นนักเรียนไปอีก...”
“เป็นนักเรียนยังไง...ไม่เข้าใจ?” เขาถามทำหน้างง
“อ้าว...” ผมร้องเสียงดัง ก่อนพูดต่ออย่างขึงขัง ว่า
“คุณน้าไม่เห็นเหรอ ทุกวันนี้ตอนเช้าหกโมง สมาชิกฝ่ายค้านต้องชักแถวหน้าจอโทรทัศน์ ให้ ’จารย์หมัก -’จารย์ดุสิต อบรมภาคเช้า ตั้งแต่หกโมงครึ่งทางสถานีกองทัพบกช่องห้า ๑ คาบ ไปสิบเอ็ดโมงที่ช่องเก้าอีก ๑ คาบ...(หยุดหายใจนิด )....
....ยัง...เท่านั้นยังไม่พอ ตกช่วงบ่ายโมงตรง ต้องมาตะแคงหูฟังอาจารย์ชุดเดิมที่สถานีวิทยุ FM ๙๔ เทศนาอีก ๑ คาบ คราวนี้ยาวถึงสองชั่วโมงเต็ม ได้พักหูบ้างก็เฉพาะแต่วันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จึงจะมีโอกาสไปด่าโต้ตอบบ้าง ทาง ‘สถานีเศษสลึง’ ก็ไอ้แค่เปาะๆแปะๆ ผู้คนฟังได้ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง...จะกล่าวหาอะไรเขาแต่ละเรื่อง ก็โดนเขาโต้ตอบ แก้ได้หมด...” จิบน้ำซะหน่อยก่อนสาธยายต่อว่า
“พอถึงวันจันทร์...เอาอีกแล้ว....ต้องกลับมาเข้าแถว ฟังเขาด่า...เขาอบรม...หูชากันพอดี!...”
พอผมพูดจบ สังเกตเห็นสีหน้าของ “เอลวิส-บางปะหัน” เหมือนอ่อนใจแทนฝ่ายค้าน ก่อนเจ้าตัวจะพูดเบาๆว่า
“เออ จริงด้วยแฮะ...น่าสงสารจัง !”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ” ผมพูดเสียงละเหี่ยใจแทนฝ่ายคู่ปรับรัฐบาลไปกับเขาด้วย และพากษ์ยาวต่อไป ว่า
“ไอ้เครื่อง CTX-YZ ที่พวกในพรรคของหัวหน้าทีมอ๊อกซฟอร์ด อยากให้มันมี ตีนงอกออกจากตัวเครื่อง จะได้เดินมาถึงเมืองไทย ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหมือนอย่างที่หัวหน้าหัวนอก แกอภิปรายเย้ยหยันเขาเอาไว้ กลางสภาหยกๆ
.....นี่อะไรกัน...ไอ้เครื่องเจ้าปัญหา ที่กะเอาเป็น ‘หมัดน๊อค’ รัฐมนตรี ดันทะลึ่งชวนกันแห่ตีตั๋วขึ้นเครื่องบิน มาฉีกหน้าท่านหัวหน้าถึงดอนเมือง ตั้งหลายเครื่อง
ใช่แต่แค่นั้นเสียเมื่อไหร่ ลูกน้องมือรองที่ดีแต่พูด ยังโดน ‘ท่านเปา’ สั่งให้เอา ‘กอเอี๊ยะ’ ปิดปากตัวเอง ไม่ให้พล่ามไปกล่าวหาชาวบ้านเขาเรื่อยเปื่อยเข้าไปอีก !
...ยิ่งทำให้เจ๊กอั้ก ปวดหัวใจ เข้าไปอีกน่ะซี้...คุณน้า !!”
............................
หยาดน้ำจากตานางฟ้าที่ตรมอารมณ์ หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ในใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝนฉ่ำใจ ...
ฝนนั้นจะมองเป็นหยดน้ำตาก็คงพอมองได้ สำหรับกวีหรือผู้มีความหลังฝังใจ แต่พระพิรุณโปรยมา ก็เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตบรรดาสรรพสัตว์ในโลก แต่สำหรับผู้ผ่านชีวิตมายาวนานกว่าหกสิบของวสันตฤดูนั้น ชีวิตช่วงนี้ ดูเหมือนอาทิตย์ยามอัศดงเสียมากกว่า
ที่ผมบอกว่า เป็นบ้านหลังสุดท้ายของรุ่นพี่ เพราะตัวเจ้าของเองมีมาแล้วก็หลายหลัง มีแล้วขาย ไม่ก็ยกให้ผู้หญิงตอนเลิกกันไป แต่เรือนที่อยู่ท่านกลางธรรมชาติอันงดงามนี้ แม้จะไม่ใหญ่โตเอิกเกริกแต่กลับมีความร่มเย็น เนื้อที่กว้างขวางหลายสิบไร่ ท่ามกลางแมกไม้และเนินเขาใหญ่น้อย เหมาะสำหรับผู้มีวัยเลยเกษียณอายุจะมาอยู่อย่างสงบ ยามบั้นปลายชีวิต
ที่ผมพูดเรื่องการเกษียณอายุขึ้นมาก็เพราะ ขณะที่ท่านอ่านคอลัมน์นี้ เป็นต้นเดือนสิงหาคม ข้าราชการที่กำลังจะเกษียณอายุจะเหลือเวลาอีกไม่ถึง ๖๐ วัน หรือแค่สองเดือนก็จะออกไป มีชีวิตเป็นข้าราชการบำนาญ นอกจากนั้นยังมีพนักงานรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่ทำงานในบริษัทเอกชน ซึ่งมีอายุงานแค่หกสิบเท่ากับราชการ จำต้องออกมาอยู่กับบ้าน และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไป โดยส่วนใหญ่ไม่มีงานประจำ
เมื่อผมรับราชการใหม่ๆ ไม่มีข้อแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้เกษียณอายุราชการ จนกระทั่งเพิ่งเมื่อประมาณสิบปีเศษนี้เอง เริ่มมีผู้พูดถึงการดำเนินชีวิตหลังเกษียณมากขึ้น มีข้อแนะนำต่างๆ สำหรับผู้ที่จะครบกำหนดอายุงาน ออกมาอยู่กับลุกหลานที่บ้าน
บุคคลที่เอาใจใส่ในเรื่องผู้ที่กำลังเกษียณอายุ และได้แสดงความเป็นห่วงใยของกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้มาสม่ำเสมอ คือ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ โดยคุณชายจะให้ข้อแนะนำกับแฟนรายการ ‘ครอบจักรวาล’ ของท่าน ที่กำลังจะเกษียณเป็นประจำทุกปี ซึ่งมีประโยชน์มาก
จำได้ว่าหน่วยราชการที่เอาใจใส่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก คือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งมีการจัดการอบรมในการดำเนินชีวิตหลังเกษียณ ให้กับกำลังพลของกองทัพ ผู้ครบอายุการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติบ้านเมืองมายาวนาน รวมทั้งครอบครัวทหาร ที่จะต้องดูแลหัวหน้าครอบครัว ซึ่งต่อจากนี้จะต้องออกมาอยู่กับบ้านด้วย ส่วนจะมีหน่วยราชการอื่นทำบ้างหรือไม่ผมไม่ทราบ
เวลาคนหนุ่ม-สาวใหม่เข้ารับราชการ มักจะมีการอบรมก่อนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเรียกกันว่าปฐมนิเทศ หลังจากรับราชการแล้วก็จะได้รับการฝึกอบรมระหว่างการทำงาน ที่เรียกกันว่า In Service Training
น่าแปลก ไม่เคยมีการอบรมก่อนที่จะพ้นราชการ ด้วยเหตุเกษียณอายุ แต่ผมทราบว่าทางธนาคารออมสิน มีโครงการที่ผมชอบใจมาก เรียกว่า โครงการปัจฉิมนิเทศ ที่ให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตหลังเกษียณกับพนักงานผู้ครบอายุงาน และยังพาไปทัศนะศึกษาต่างจังหวัด เป็นการตอบแทนพนักงาน ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของธนาคารสำคัญแห่งการออมของชาติแห่งนี้ ด้วยความดีมาโดยตลอด นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก
เมื่อมีปฐมนิเทศได้ ก็ควรมีปัจฉิมนิเทศ ตอนจะลาชีวิตในองค์กรด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ น่าจะนำไปเป็นตัวอย่างทีเดียว
อายุของผู้คนในประเทศต่างๆในยุคปัจจุบัน ยืนยาวมากกว่าเดิม เพราะความเจริญทางการแพทย์ หากเราไปดูภาพถ่ายของข้าราชการในยุครัชกาลที่ ๔ เมื่อการถ่ายรูปยังเป็นของใหม่ ข้าราชการที่มีอายุ ๓๐-๔๐ ปี ฟันฟางก็หักเกือบหมดปากกันแล้ว
คนโบราณอย่าง Monalisa สาวที่ว่ากันว่าสวยนักสวยหนานั้น ทันตแพทย์บางคนลงความเห็นว่า ฟันกรามน่าจะไม่มี เพราะแก้มบุ๋มลงไป จนดูคล้ายเป็นลักยิ้มโผล่ขึ้นมา กลับกลายเป็นเสน่ห์ให้คนคลั่งไคล้เข้าไปอีก !
ปัจจุบันพวกหมอชาวญี่ปุ่น มักจะมีคำกล่าวว่า คนเรานั้นสามารถจะมีอายุยืนได้โดยไม่ต้องแก่ ฟังแล้วก็งง แถมเขายังบอกต่ออีกว่า หากถึงคราวแก่ก็แก่อย่างสง่างาม แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ แม้ว่าเราจะมีอายุยืนยาว แต่ไม่มีใครอยากจะอยู่อย่างคนแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้
ดังนั้น ยุคนี้มนุษย์เราจึงได้พยายามกันอย่างหนัก เพื่อที่จะรักษาสุขภาพ รักษาร่างกายให้หนุ่มสาวอยู่เสมอ บรรดาพวกอาหารเสริม ยาบำรุงต่างๆ จึงขายดิบขายดีกันในหมู่ผู้สูงอายุ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับคุณผู้ชาย คือยาเพิ่มพลังทางเพศ ซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นจำเป็นของชายชาตรีอาวุโสทั้งหลายที่ใจคึกคัก ยาประเภท “ไว-ไว-ควิก-ควิก” แม้ราคาสูง แต่ผู้คนไม่ย่อท้อ ขวนขวายหามารับประทานกัน ทำให้บริษัทยาและเภสัชกรร่ำรวยกันมาก
ที่กินเข้าไปได้ผลก็มี ไม่ได้ผลก็มาก หรือกินแล้วตายก็ไม่น้อย กระนั้นบรรดาชายสูงอายุ ที่ยังเห็นเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นสาระสำคัญที่สุดในแห่งชีวิต ก็หาได้มีความครั่นคร้ามอย่างใดไม่ ยอมเอาชีวิตตนเข้าเสี่ยงกับการเสพสมในยามสูงวัยนี้ให้ได้ ถึงจะเป็นเพียงเพื่อความสุขชั่วครั้งคราวและอาจมีอันตรายถึงชีวิตแบบ ถึงตายก็ยอม นับว่าลงทุนสูงมาก !
ในทัศนะของผมกลับเชื่อว่า ถ้าเรารักษาสุขภาพให้ดี ออกกำลังไม่ขาด มีอารมณ์ที่แจ่มใสอยู่เสมอ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี การมีกิจกรรมแบบที่กล่าวมาสม่ำเสมอคงเส้นคงวา เท่ากับตอนเป็นหนุ่ม ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่อย่างว่าแหละครับ ร่างกายคนเหมือนกันซะเมื่อไหร่ กินอยู่อย่างเดียวกัน แต่คนหนึ่งตายทีหลังอีกคนมีให้เห็นเยอะแยะ
เรื่องการรับประทานนั้น ตอนนี้มีผู้มีความรู้ทางโภชนาการ ออกมาแนะนำกันหลายตำราหลากความเห็น แต่ถีงกระนั้นเรื่องความเชื่อในเรื่องยาวิเศษ ที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวมากขึ้นก็ยังดำรงอยู่ ทำให้คนเราได้พยายามเสาะแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า "ยาอายุวัฒนะ" มาตลอด เพื่อหายาที่มีสรรพคุณแสนวิเศษ ที่ทำให้ผู้สูงวัยกลับมามีชีวิตที่กระชุ่มกระชวยได้ใหม่
หากท่านผู้ใดค้นคว้ายาชนิดนี้อยู่ ก็ขอให้ประสพความสำเร็จ เผื่อตัวคนเขียนเองอาจจำเป็นต้องใช้จะได้ไปขอปันมาบ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีความต้องการถึงขนาดนั้น
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตัวคนเขียนคอลัมน์ ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง คือ พลโท ปุ่น วงศ์วิเศษ ซึ่งผมสัมภาษณ์ท่านใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๐๕ “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่ ?” กรุณามอบหนังสือ วันครบรอบอายุ ๙๐ ปีของท่าน ชื่อ “๙ ทศวรรษของชีวิตผม” ซึ่งได้เล่าเรื่องชีวิตของตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กอยู่บ้าน ‘ไทยพวน’ ที่จังหวัดสุโขทัย เข้ามาเรียนกรุงเทพ สอบได้เป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก และออกมารับราชการตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๗ ออกสนามรบในสงครามอินโดจีน รบกับทหารฝรั่งเศส ซึ่งก็ได้รับชัยชนะ และได้ดินแดนที่ถูกฝรั่งเศสยึดเอาไปกลับคืนมา แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เราก็ต้องคืนดินแดนกลับไปให้เช่นเดิม
พอสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นบุก พลโท ปุ่น วงษ์วิเศษ ได้ทำหน้าที่นายทหารไทยประสานงานกับกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งมีกรณีขัดแย้งกันหลายครั้งหลายหน ระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับทหารญี่ปุ่น ถึงกับยิงกันตายก็มีจนเกือบกลายเป็นเหตุวิกฤติลุกลาม แต่ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนสงครามสงบลง
เมื่อเกิดสงครามเกาหลี ได้มีการจัดตั้งองค์การทหารผ่านศึก ท่านเป็นผู้เข้าร่วมบุกเบิกงานการจนองค์กรแห่งนี้เป็นปึกแผ่น จนได้ตำแหน่งผู้อำนวยการองค์กรผ่านศึก ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งราชองครักษ์ และเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง ผอ.องค์การทหารผ่านศึก มาตั้งแต่ ปีพ.ศ. ๒๕๑๘ นับถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา ๓๐ ปีเต็มแล้ว
หลังจากเกษียณอายุ พลโท ปุ่น วงษ์วิเศษ ได้รับเชิญเป็นประธานบริษัทหลายแห่ง เช่นบริษัทชลประทานซีเมนต์ และบริษัทอื่นอีกหลายแห่ง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะท่านมีความสามารถในการบริหารงานสูงในการจัดการองค์กร เหนืออื่นใดท่านเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม ทำให้กิจการของบริษัทเหล่านั้นรุ่งเรืองและดำเนินไปด้วยดี
ถึงวันนี้ด้วยวัย ๙๐ ต้นๆ ท่านยังทำงานทุกวันที่ โรงเรียนอนุบาลสี่พี่น้อง ในซอยทองหล่อ สุขุมวิท ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว จนโรงเรียนเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ปกครองแถบถนนสุขุมวิท นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมของเพื่อนฝูงมาตลอด ส่วนบุตรีก็ก้าวหน้าในชีวิตราชการถึงชั้นอธิบดีกรมสำคัญ ซึ่งน่าชื่นใจมาก แม้อยู่ในวัยสูงอายุแล้ว ท่านมีความทรงจำยอดเยี่ยม ยังออกกำลังเล่นกอล์ฟทุกสัปดาห์ เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่ง คือ พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ก่อตั้งและอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ที่ถูกคุณบรรหาร ยึดเข้าเมืองสุพรรณ-บ้านแจ่มใส ไปเรียบร้อยแล้ว
ผมเห็นท่าน พลโท ปุ่น วงศ์วิเศษ คราใด ให้คิดถึงคำกล่าวของ พลเอก ดักกลาส แมคอาเธอร์ (General Douglas MacArthur) แม่ทัพใหญ่ด้านปาซิฟิค ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองของสหรัฐ และผู้บัญชาการกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี ได้กล่าวในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาสหรัฐ เมื่อ ๑๙ เมษายน ๒๔๙๔ ภายหลังจากถูกปลดออกจากตำแหน่ง โดยประธานาธิบดี Harry S. Truman (แฮรี่ เอช ทรูแมน) ว่า
....The world has turned over many times since I took the oath on the plain at West Point, and the hopes and dreams have long since vanished, but I still remember the refrain of one of the most popular barracks ballads of that day which proclaimed most proudly that old soldiers never die; they just fade away....
ใช่แล้วครับ ทหารเก่า...ไม่มีวันตาย...เพียงแค่เลือนหายไป...เท่านั้น
หากการที่คนเราเกษียณอายุราชการแล้ว ได้ทำงานใหม่อย่างเต็มที่ เสมือนว่า เราได้เลือนหายจากภาคหนึ่งของชีวิตแล้ว กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในหน้าที่การงานอื่นน่าจะดี เพราะจะช่วยให้เราไม่หงอยเหงา มีสติปัญญาเข้มแข็งเหมือนเดิม หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ เช่นพลโท ปุ่น วงศ์วิเศษ เป็นตัวอย่างที่ดียิ่ง หรืออาจเปรียบไปก็คล้ายกับว่า
เราเคยเป็นเสมือนดวงอาทิตย์ พอค่ำลงก็ตกจากขอบฟ้าไปลง สภาพความเป็นดวงสุริยะของตัวเองอาจสูญสิ้น แต่ถ้าได้กลับกลายไปเกิดเป็นดาราดวงใหม่ ขึ้นมาประดับบนท้องฟ้า สาดส่องแสงเป็นประโยชน์กับเพื่อร่วมโลกคนอื่นต่อไป พูดอย่างสำนวนยี่เกก็คงว่า.... “ตะวันจะเคลื่อนคล้อย หรือ ดาวน้อยจะทอแสง !”.... ว่าเข้าไปนั่น !
เหมือนกับชีวิตมิตรของผมอีกคนหนึ่ง ดวงตะวันในชีวิตราชการจบแสงลงแล้ว แต่อีกอาชีพหนึ่งของเขากำลังจะทอแสงขึ้นมาแล้ว
เพื่อนคนนี้คือ พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท (นามสกุลของเขาได้รับพระราชทาน แปลว่า
“ผู้มีใจห่วงใยในแผ่นดิน”) แต่ฉายาที่คนรู้จักกัน ว่า “เอลวิส-บางปะหัน” เพราะบ้านเดิมเขาอยู่ตำบลหันสัง อำเภอบางปะหัน จังหวัดอยุธยา ซึ่งผมเขียนเอาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอน ๑๑๓ “เป็น เอลวิส-ลูกทุ่ง ถ้าไม่รุ่ง จะมุ่ง วุฒิฯ”
ก่อนเกษียณอายุราชการ เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจเป็นนักร้องลูกทุ่งอย่างเต็มที่ โดยเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การหัดร้องเพลง เรียนกีตาร์ รวมทั้งไปตัดชุด ‘เอลวิส’ จากร้านเดียวกับนักร้องต้นแบบที่สหรัฐ หวังใจว่าจะเป็นดาวของวงการเพลงลุกทุ่งผู้โด่งดังให้ได้
เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ผมคาด เพราะเขาเริ่มต้นช้าไปนิด คือไปเริ่มตอนอายุ ๕๙ ถนนหนทางไปเป็นดารา แห่งวงการลูกทุ่งเสียงทองดูจะตีบตัน แต่เขาไม่เคยหมดกำลังใจ
ตอนนี้ “เอลวิส-บางปะหัน” กลับมาบุกแหลกในด้านการเป็นเครือข่ายต่อต้านยาเสพติด และมีรายการวิทยุเป็นของตนเอง ที่คลื่น AM ๙๙๙ ของกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ เวลาดี สี่ทุมตรง ปรากฏว่ารายการของเขาคึกคักมีคนสนใจติดตาม ให้ข้อมูลและเบาแสต่างๆมากจนน่าแปลกใจ
ตอนนี้กำลังจะมีผู้เข้าร่วมรายการมากหน้าหลายตา เช่นคุณยาว อยุธยา เป็นต้น ซึ่งรายการอย่างนี้จะช่วยภาครัฐ ในด้านกำราบปราบปรามพวกค้ายาและพวกเสพยาได้เป็นอย่างดี
ผมจึงยุให้เพื่อนลงสมัครเป็นวุฒิสมาชิก เพราะหากเข้าไปในสภาก็จะเป็นปากเป็นเสียงให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ลูกหลานมีแนวโน้มจะหันไปใช้ยาเสพติด ได้เป็นอย่างดีเพราะเขามีความรอบรู้ในยุทธจักรนี้อย่างหาตัวจับยาก
ระหว่างมียศนายพลตำรวจตรี ในฐานะผู้บังคับการตำรวจนครบาล แม้มุ่งมั่นทำงานในฐานะผู้รักษาความสงบเรียบร้อย เข้าพิชิตคดีสำคัญ และควบคู่กันไปกับการปราบปราม เขาก็เริ่มโครงการช่วยเหลือประชาชน ด้วยการจัดตั้งชมรมต่อต้านยาเสพติด ทำให้มีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านเขตหนองแขม ประเวศ และเขตรามคำแหง ซึ่งบัดนี้เป็นชมรมที่เขาเป็นส่วนสำคัญในการก่อตั้ง เป็นปึกแผ่นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง พอเขาได้รับตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ชมรมก็กลายเป็น “สมาคมพลังแผ่นดินต่อต้านยาเสพติด” เพราะฝีมือและแรงจูงใจของ
ผู้บังคับการตำรวจ...หัวใจเอลวิส เพรสลีย์ คนนี้ !
ตอนนี้เขาเป็นายกสมาคมฯ ได้จัดทีมงานลงพื้นที่สดับตรับฟังปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดในทุกพื้นที่ ภายใต้โครงการของสมาคมพลังแผ่นดินฯ ที่เขาเป็นประธานอยู่ นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก
หวังใจว่าเพื่อนคนนี้จะเกิดใหม่เป็น “ดาววุฒิสภา” แทนการเป็นดาราแห่งวงการลูกทุ่งไทยแลนด์แดนปลาทู ที่ดูเหมือนว่าความหวังริบหรี่ไปแล้ว เพราะเหลือแต่ไปออกงานบุญงานกุศลซึ่งไม่ได้ค่าตัวซ้ำต้องจ่ายเจ้าภาพอีกก็มี บางครั้งวันรำลึกที่ เอลวิส เพรสลีย์ แฟนคลับ ในประเทศไทยเขาจัดชุมนุมกัน จึงจะได้เชิญ “เอลวิส-บางปะหัน” ไปออกลีลาโยกและคลึงกับเขาบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งไม่พอต่อการยืดเส้นยืดสายของคนไฟยังแรงอย่างเขาคนนี้ !
ผมคุยออกความเห็นว่า เขาน่าจะลงสมัคร ส.ส .ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่เจ้าตัวกลับพึมพำบอกว่า
“จะลงสมัครพรรครัฐบาล เขาก็มีตัวเต็มแล้ว จะไปสมัครเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็อาจไปแพ้คนเก่าชองพรรครัฐบาลเขา”
“ดีแล้ว...” ผมให้ความเห็นบ้าง ก่อนบอกต่อว่า
“ถ้าสมัครในนามพรรคฝ่ายค้าน ถึงได้รับเลือกไป ป่านนี้คุณน้าก็ต้องกลายเป็นนักเรียนไปอีก...”
“เป็นนักเรียนยังไง...ไม่เข้าใจ?” เขาถามทำหน้างง
“อ้าว...” ผมร้องเสียงดัง ก่อนพูดต่ออย่างขึงขัง ว่า
“คุณน้าไม่เห็นเหรอ ทุกวันนี้ตอนเช้าหกโมง สมาชิกฝ่ายค้านต้องชักแถวหน้าจอโทรทัศน์ ให้ ’จารย์หมัก -’จารย์ดุสิต อบรมภาคเช้า ตั้งแต่หกโมงครึ่งทางสถานีกองทัพบกช่องห้า ๑ คาบ ไปสิบเอ็ดโมงที่ช่องเก้าอีก ๑ คาบ...(หยุดหายใจนิด )....
....ยัง...เท่านั้นยังไม่พอ ตกช่วงบ่ายโมงตรง ต้องมาตะแคงหูฟังอาจารย์ชุดเดิมที่สถานีวิทยุ FM ๙๔ เทศนาอีก ๑ คาบ คราวนี้ยาวถึงสองชั่วโมงเต็ม ได้พักหูบ้างก็เฉพาะแต่วันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จึงจะมีโอกาสไปด่าโต้ตอบบ้าง ทาง ‘สถานีเศษสลึง’ ก็ไอ้แค่เปาะๆแปะๆ ผู้คนฟังได้ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง...จะกล่าวหาอะไรเขาแต่ละเรื่อง ก็โดนเขาโต้ตอบ แก้ได้หมด...” จิบน้ำซะหน่อยก่อนสาธยายต่อว่า
“พอถึงวันจันทร์...เอาอีกแล้ว....ต้องกลับมาเข้าแถว ฟังเขาด่า...เขาอบรม...หูชากันพอดี!...”
พอผมพูดจบ สังเกตเห็นสีหน้าของ “เอลวิส-บางปะหัน” เหมือนอ่อนใจแทนฝ่ายค้าน ก่อนเจ้าตัวจะพูดเบาๆว่า
“เออ จริงด้วยแฮะ...น่าสงสารจัง !”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ” ผมพูดเสียงละเหี่ยใจแทนฝ่ายคู่ปรับรัฐบาลไปกับเขาด้วย และพากษ์ยาวต่อไป ว่า
“ไอ้เครื่อง CTX-YZ ที่พวกในพรรคของหัวหน้าทีมอ๊อกซฟอร์ด อยากให้มันมี ตีนงอกออกจากตัวเครื่อง จะได้เดินมาถึงเมืองไทย ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหมือนอย่างที่หัวหน้าหัวนอก แกอภิปรายเย้ยหยันเขาเอาไว้ กลางสภาหยกๆ
.....นี่อะไรกัน...ไอ้เครื่องเจ้าปัญหา ที่กะเอาเป็น ‘หมัดน๊อค’ รัฐมนตรี ดันทะลึ่งชวนกันแห่ตีตั๋วขึ้นเครื่องบิน มาฉีกหน้าท่านหัวหน้าถึงดอนเมือง ตั้งหลายเครื่อง
ใช่แต่แค่นั้นเสียเมื่อไหร่ ลูกน้องมือรองที่ดีแต่พูด ยังโดน ‘ท่านเปา’ สั่งให้เอา ‘กอเอี๊ยะ’ ปิดปากตัวเอง ไม่ให้พล่ามไปกล่าวหาชาวบ้านเขาเรื่อยเปื่อยเข้าไปอีก !
...ยิ่งทำให้เจ๊กอั้ก ปวดหัวใจ เข้าไปอีกน่ะซี้...คุณน้า !!”
............................