บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ( EV ) เทสล่าของอีลอน มัสก์มหาเศรษฐีชาวอเมริกันยืนยันว่า ยังคงให้ความสำคัญกับซัปพลายเออร์ในประเทศจีนและจะไม่กีดกันซัปพลายเออร์โดยการใช้ประเทศถิ่นกำเนิดของสินค้าที่ซัปพลายเออร์จัดส่งมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน
“ ไม่ว่าจะอยู่ในสหรัฐฯ จีน หรือยุโรป เทสลาจะใช้มาตรฐานที่เข้มงวดและเป็นกลางเหมือนกันในการคัดเลือกซัปพลายเออร์ของโรงงานผลิตทุกแห่งทั่วโลก”
“การคัดเลือกขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ต้นทุนรวม ความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยี และความสามารถในการรักษาอุปทานในระยะยาว” เกรซ เถา รองประธานของเทสล่า ซึ่งรับผิดชอบด้านประชาสัมพันธ์ในประเทศจีนระบุบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเว่ยปั๋วเมื่อวันพุธ ( 26 พ.ย.)
เธอยังแสดงความเชื่อมั่นในบริษัทผู้ผลิตชาวจีนกว่า 400 แห่ง ซึ่งจัดหาชิ้นส่วนรถยนต์ตั้งแต่แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบควบคุมความร้อนให้กับโรงงานกิกะแฟกทอรี ( Gigafactory ) ของ เทสล่าในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 95 ของชิ้นส่วนทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตรถ Model 3 และModel Y
ถ้อยแถลงของรองประธานเทสล่าดูเหมือนเป็นการตอบโต้ทางอ้อม หลังจากเดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัลรายงานเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนว่า เทสล่ามีแผนเลิกใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในจีนสำหรับรถที่ประกอบในสหรัฐอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาในท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดจากความขัดแย้งด้านภาษีศุลกากรระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสอง
ด้านรอยเตอร์รายงานเมื่อต้นเดือนว่า เจเนรัลมอเตอร์ก็ใช้แนวทางที่คล้ายคลึงกับเทสล่าตามที่เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัลรายงาน
โรงงานในเซี่ยงไฮ้เป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุดของเทสล่า โดยส่งมอบรถทั้งสิ้น 916,000 คันแก่ลูกค้าบนจีนแผ่นดินใหญ่และตลาดต่างประเทศ เช่น ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและยุโรปเมื่อปีที่แล้ว ผลผลิตของโรงงานคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตทั่วโลกของเทสล่าเมื่อปีที่แล้ว
จีนครองห่วงโซ่อุปทานEVทั่วโลก แบตเตอรี่ที่ใช้ขับเคลื่อนEVทั่วโลกกว่าร้อยละ 70 ผลิตโดยบริษัทจีน โดย CATL และBYD ครองสองอันดับแรกในแง่ของปริมาณการผลิตต่อปี
หากตัดสินใจเลิกใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในจีน ผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกอย่างเทสลาและจีเอ็มต้องใช้เวลาสักพักในการปรับห่วงโซ่อุปทาน เพราะชิ้นส่วนที่ผลิตในจีนมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน และบางชิ้นส่วนก็ใช้ของบริษัทอื่นแทนไม่ได้ เนื่องจากปัจจัยทางเทคโนโลยี เฉียน กัง เจ้าของโรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ในมณฑลเจ้อเจียงกล่าว
เทสลามีส่วนแบ่งตลาดEVในจีนลดลงต่ำกว่าร้อยละ 5 ในปีนี้จากที่เคยมีถึงร้อยละ 16 เมื่อเริ่มการผลิตในจีนเมื่อปี 2563 เนื่องจากสงครามหั่นราคาและคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น โดยแบรนด์จีน เช่น Xiaomi และLeapmotorนำเสนอEVรุ่นที่มาพร้อมกับระบบเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ที่ล้ำหน้าและแบตเตอร์รีประสิทธิภาพสูงจึงดึงดูดใจลูกค้าได้มากกว่า
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์


