เจนเซ่น หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของอินวิเดีย (Nvidia) บริษัทผู้ผลิตชิปชั้นนำแห่งสหรัฐอเมริกา ยังคงออกมาพูดจาโน้มน้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯและจีนเห็นถึงข้อดีในการเปิดกว้างให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของชาติทั้งสองได้แข่งขันกัน
ในรายการ BG2 ซึ่งรับฟังทางสื่อพอดแคสต์เมื่อวันศุกร์ ( 26 ก.ย. ) หวงพูดคุยกับแบรด เกิร์สต์เนอร์ และบิลล์ เกอร์ลีย์ ผู้ดำเนินรายการว่า วอชิงตันควรอนุญาตให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แข่งขันในระดับโลก รวมถึงในจีน เพื่อให้เทคโนโลยีอเมริกาแพร่หลายไปทั่วโลก และด้วยวิธีการเช่นนี้เศรษฐกิจและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ จะประสบความสำเร็จสูงสุด
หวงเน้นย้ำว่า จีนมีความก้าวหน้าในการผลิตชิปและมีศักยภาพในการผลิต อีกทั้งเป็นแหล่งของผู้มีความรู้ความสามารถมากมาย มีวัฒนธรรมการทำงานที่เร่งรีบ และการแข่งขันกันเองระหว่างมณฑล
จีนตามหลังสหรัฐฯ ด้านชิป ห่างกันในระดับ “ นาโนวินาที”
“ ฉะนั้น เราจึงต้องแข่งขันต่อไป ”
“นี่คืออุตสาหกรรมที่มีชีวิตชีวา มีผู้ประกอบการ ไฮเทค และทันสมัย” หวงกล่าวถึงจีน
ซีอีโอของอินวิเดียแสดงความหวังและเชื่อมั่นว่า ปักกิ่งจะยังคงเปิดตลาดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนและแข่งขันในจีนดังคำมั่นที่เคยให้ไว้
ทั้งนี้ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่งผลกระทบต่อการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ ( AI ) ของอินวิเดีย เช่น ชิปรุ่น H20 ไปยังตลาดใหญ่อย่างจีน หลังจากที่หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของอินวิเดีย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการฝึกและการขับเคลื่อนโมเดล AI เคยมีส่วนผลักดันให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
ภายใต้นโยบายพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์ของรัฐบาลจีน ยังส่งผลให้อินวิเดีย ซึ่งเคยครองตลาดแดนมังกร กำลังถูกคู่แข่งด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ของจีน รวมถึงบริษัทสตาร์ตอัป ที่ผุดขึ้นมากมาย แย่งส่วนแบ่งตลาด ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคในจีนมีโอกาสเลือกซื้อ
นอกจากนั้น ยักษ์ใหญ่ด้านอินเตอร์เน็ตและผู้ให้บริการระบบคลาวด์ของจีน เช่น อาลีบาบากรุ๊ป เทนเซ็นต์ ไบต์แดนซ์ และไป่ตู้ ได้ทุ่มทุนในการวิจัยและออกแบบชิป เพื่อพยายามควบคุมห่วงโซ่อุปทานของตนให้ได้มากขึ้น
ขณะที่หัวเว่ย เปิดเผยแผนงานด้านชิป AI ที่รอคอยกันมานานในเดือนนี้ โดยนำเสนอวิธีการจัดกลุ่ม ( clustering methods ) ซึ่งออกแบบมาเพื่อเลี่ยงการใช้ชิปของอินวิเดีย รวมถึงนำเสนอเทคนิคการผลิตขั้นสูงที่ก้าวล้ำกว่าที่จีนสามารถเข้าถึงได้ในปัจจุบัน
ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์