ในการแถลงและตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 17 มี.ค. ผู้สื่อข่าวจีนค่ายหนึ่งได้ถามถึงกรณีที่ไทยส่งตัวพลเมืองจีน (ชาติพันธุ์อุยกูร์) 40 คน ที่ถูกไทยควบคุมตัว กลับไปยังจีน และสหรัฐฯ ได้ใช้นโยบายจำกัดวีซ่าต่อเจ้าหน้าที่ไทย ตอบโต้เหตุส่งตัวพลเมืองจีนกลับประเทศจีน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เหมา หนิง ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างจีนกับไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีอธิปไตย ในการปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองและอาชญากรรมข้ามชายแดนที่ผิดกฎหมาย สหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิแทรกแซงใดๆ
โฆษกจีน นาง เหมา หนิง กล่าวว่า “พลเมืองจีน 40 คน ถูกควบคุมตัวในไทยมาเป็นเวลากว่า 10 ปี หลังถูกจับฐานลักลอบออกนอกประเทศอย่างผิดกฎหมาย รัฐบาลจีนมีภาระและหน้าที่รับผิดชอบปกป้องพลเรือนของตนเอง ช่วยพวกเขากลับสู่ครอบครัว และกลับสู่ชีวิตปกติ”
โฆษกจีนยังชี้ว่า สหรัฐฯ พยายามทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง ดำเนินการแบบสองมาตรฐาน ปราบปรามผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอย
ในปีการเงิน 2024 สำหนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแห่งสหรัฐฯ ได้ส่งกลับตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย จำนวน 270,000 คน จาก 192 ประเทศ ซึ่งทำสถิติใหม่นับจากปี 2014 ในด้านของการส่งกลับตัวชาวต่างชาติ
ในด้านหนึ่ง สหรัฐฯ ทำการตามอำเภอใจในการเนรเทศผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันกลับโจมตีความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายตามกฎหมายของประเทศอื่นๆ อีกทั้งใช้มาตรการคว่ำบาตรและมาตรการกดดันอื่นๆ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของการกลั่นแกล้ง
จีนขอประณามอย่างแรงต่อการใส่ร้ายป้ายสี และการคว่ำบาตรที่ผิดกฎหมายเพื่อกดดันไทยและจีน พร้อมกับขอคัดค้านสหรัฐฯ ในการปั่นประเด็นที่เกี่ยวกับซินเจียงโดยอ้างกรอบแนวคิดสิทธิมนุษยชน แทรกแซงเรื่องภายในประเทศจีน ขัดขวางความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ
ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย เน้นย้ำว่าได้ยึดถือหลักการด้านมนุษธรรมมาโดยตลอดในเรื่องเกี่ยวกับการส่งตัวพลเรือนจีนกลับประเทศ และบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ควรถูกเสริมสร้างบนพื้นฐานแห่งความเคารพกันและกัน