จวินเฉ่า (Juncao) เป็นหญ้าพันธุ์ลูกผสม ซึ่งคณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนใช้เวลาในการวิจัยและทดลองมานานหลายทศวรรษจนกระทั่งพัฒนาสำเร็จ
ในปี พ.ศ.2552 สี จิ้นผิงยังเป็นรองประธานาธิบดีจีน เขาได้เดินทางไปเยือนฟิจิ เมื่อทราบว่า ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้แห่งนี้ไม่สามารถผลิตเห็ดได้ เขาจึงได้แนะนำเทคโนโลยีจวินเฉ่าให้ผู้นำฟิจิ
ต่อมา จึงมีการก่อตั้งศูนย์สาธิตเทคโนโลยีการปลูกหญ้าจวินเฉ่าระหว่างจีน-ฟิจิขึ้นในปี พ.ศ.2557 และการเปิดศูนย์สาธิตเทคโนโลยีการปลูกหญ้าจวินเฉ่าระหว่างจีน-ประเทศเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2566
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีจวินเฉ่าได้หยั่งรากและเจริญเติบโตในประเทศเกาะแปซิฟิกหลายแห่ง สร้างประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ผู้คนในท้องถิ่น เป็นการนำภูมิปัญญาและแนวทางแก้ปัญหาของจีนมาสนับสนุนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ 2030
หญ้าจวินเฉ่ามีคุณสมบัติหลายประการได้แก่ นำมารองพื้นเพื่อเพาะเห็ด เป็นอาหารปศุสัตว์ ช่วยลดความเค็มของดิน กันลม และลดการพังทลายของดิน มีศักยภาพมหาศาลในการฟื้นฟูระบบนิเวศและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สถิติแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ที่ปลูกหญ้าจวินเฉ่า ซึ่งมีความสูงเท่ากับคนทั่วไปนั้น มีแนวโน้มการกร่อนของดินลดลง 97.05 ถึง 98.9% เมื่อเทียบกับทุ่งข้าวโพด และการสูญเสียน้ำลดลงประมาณ 80.0 ถึง 90.9%
นอกจากนี้ จากการทดสอบพบว่าดินในบริเวณศูนย์สาธิตเทคโนโลยีการปลูกหญ้าจวินเฉ่าระหว่างจีน-ฟิจิมีความเค็มสูงถึง 1.9% โดยระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 1.67% แต่เมื่อเลือกพันธุ์จวินเฉ่า ซึ่งทนเกลือได้ดีมาทดลองปลูก โดยหลังจากหญ้าโตได้ 4 เดือน พบว่า ปริมาณเกลือในดินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียงประมาณ 0.3%
ด้วยคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจีน ชาวฟิจิค่อยๆ เชี่ยวชาญเทคนิคในการปลูกเห็ดที่กินได้ 7 ชนิด เช่น เห็ดนางรม เห็ดหลินจือ และเห็ดปลวก ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เกษตรกรทั่วไปต้องการพื้นที่ว่างรอบบ้านเพียงประมาณ 10 ตารางเมตรในการปลูกเห็ดนางรมด้วยหญ้าจวินเฉ่า โดยการปลูก 4 ชุดต่อปี สามารถเก็บเห็ดไปขายได้เกือบ 1,200 กิโลกรัม มีรายได้รวมประมาณ 2 หมื่นดอลลาร์ฟิจิ (ราว 3 แสนบาท) ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยต่อปีของเกษตรกรในท้องถิ่นมาก
ที่มา : โกลบอลไทมส์