โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
กระแสที่เกี่ยวกับจีนในตอนนี้คงจะหนีไม่พ้น “รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจีน” ต่อไปนี้ผู้เขียนจะขอเรียกโดยสั้นๆ ว่า “รถยนต์อีวี” (EV) บุกตลาดทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เพราะช่องว่างของโอกาสทางตลาดของรถยนต์อีวียังมีอยู่มาก ทำให้บริษัทรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจีนต้องรีบรุกและพัฒนา ไม่เว้นแม้แต่ไทยเราเองที่รถยนต์อีวีแบรนด์จีนทยอยเข้ามาตีตลาด หนึ่งในแบรนด์รถยนต์อีวีจีนที่แข็งแกร่งอย่าง บีวายดี (BYD) ก็เข้ามาทำตลาดในไทยแบบเชิงรุกช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ และได้รับความนิยมจากคนไทยอยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่แค่บีวายดีแบรนด์เดียวเท่านั้นที่รุกทำตลาดขายรถยนต์อีวีในไทย ยังมีรถยนต์อีวีจีนอีกเกือบ 10 แบรนด์ที่แข่งขันกันดุเดือดเข้ามาทำการตลาดในไทย เช่น GWM, MG, CHERY, XPENG, WULING, VOLT, NETA เป็นต้น เพราะต้นทุนราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับรถยนต์อีวีกันมากขึ้น เฉพาะไทยเองในปีนี้ แนวโน้มความนิยมรถยนต์อีวียังมีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากงานมอเตอร์โชว์ 2024 ที่เพิ่งผ่านมา ยอดจองรถยนต์อีวีมีมากกว่า 17,000 คันจากยอดจองรถยนต์ทั้งหมดในงาน 53,438 คัน
สำหรับในจีนเองผู้เขียนมองว่าการพัฒนาของตลาดรถยนต์อีวีไปไกลกว่าไทยประมาณ 6-8 ปี ความนิยมรถยนต์อีวีของชาวจีนมีตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 และการแข่งขันระหว่างแบรนด์รถยนต์อีวีจีนในประเทศก็ดุเดือด มีแบรนด์ใหม่ๆ ผุดขึ้นมามากมาย แม้แต่บริษัทเทคโนโลยีจีนยังลงมาเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดรถยนต์อีวี โดยเฉพาะหนึ่งในผู้เล่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวรถยนต์อีวีคันแรกของตัวเองในปลายเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา คือ บริษัท เสียวหมี่ (Xiaomi) หลังเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า “เสียวหมี่ เอสยู7” (Xiaomi SU7) ภายใน 27 นาที มียอดจองทะลุ 50,000 คัน ทุบทำลายสถิติยอดจองรถยนต์อีวีจีนทุกแบรนด์ที่เคยมีมา! ที่โชว์รูมรถยนต์ของเสียวหมี่ทุกแห่งมีคนเข้าไปชมรถกันล้นหลามจนต้องจองออนไลน์กันล่วงหน้า บางแห่งต้องเปิดให้ลูกค้าเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ปรากฏการณ์ที่ “เสียวหมี่ เอสยู7” ทำยอดจองถล่มทลาย กลายเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดีย อีกทั้งสร้างความแปลกใจให้นักวิเคราะห์และอินฟลูเอ็นเซอร์หลายคน เพราะก่อนหน้านี้มีการประเมินไปในแนวเดียวกันว่า “รถยนต์อีวีของเสียวหมี่ออกมาสู่ตลาดช้าเกินไป ตอนนี้ตลาดการแข่งขันไม่ใช่ ‘ทะเลฟ้า’ เหมือนในอดีต แต่เป็น ‘ทะเลแดงเดือด’ ไปแล้ว ดังนั้น รถยนต์อีวีเสียวหมี่ไม่น่าจะมีแรงดึงดูดอะไรมาก แต่ความเป็นจริงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักวิเคราะห์จีนหลายคนหน้าชากันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ มีประเด็นที่ตลาดรถพูดถึงคือ กระแสยกเลิกออเดอร์จองรถเสียวหมี่หลังการเปิดตัวที่มีกว่า 40% ประเด็นนี้ทางบริษัทเสียวหมี่ไม่ได้ออกมาพูดถึงเหตุผลการยกเลิก แต่ยืนยันว่ายอดคอนเฟิร์มการจองซื้อรถยังมีจำนวนมากและกำลังเร่งขยายความสามารถการผลิตเพื่อส่งมอบรถยนต์โดยเร็วที่สุด
ในประเด็นยกเลิกออเดอร์นี้ มีการคาดการณ์สาเหตุการยกเลิกที่เป็นไปได้มาก ได้แก่ 1.คนจองเอาไว้ก่อนเพื่อให้ได้โควตาแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อจริงหรือไม่ กลุ่มนี้ยังลังเลและเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ อยู่ 2.จองไว้ก่อนไปดูรถของจริงแล้วถ้าไม่ชอบก็ยกเลิก 3.กลุ่มที่เอาใบจองไปขายเก็งกำไรต่อ 4.การปั่นกระแสของเสียวหมี่ในช่วงวันเมื่อเปิดตัวรถเพื่อดึงดูดความสนใจให้คนแห่จองรถเยอะๆ
อย่างไรก็ดี มาดูกันว่ารถยนต์ ‘เสียวหมี่ เอสยู7’ ทำไมถึงประสบความสำเร็จอย่างเกินความคาดหมายขนาดนี้?
แนวทางการพัฒนารถยนต์อีวีในปัจจุบันมี ‘สองหัวใจหลัก’ หนึ่งคือเทคโนโลยีการใช้พลังงานไฟฟ้า (แบตเตอรี่) สองคือระบบอัจฉริยะ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทรถยนต์อีวีจีนอย่าง BYD, XIAOPENG, NIO ได้พัฒนาหัวใจแรกคือระบบการใช้ไฟฟ้าแบตเตอรี่จนมีศักยภาพและความพร้อมระดับสูง หากเสียวหมี่มาโฟกัสด้านแบตเตอรี่และแข่งในเรื่องเดียวกันน่าจะแพ้อย่างราบคาบ ดังนั้นเสียวหมี่จึงเลือกโฟกัสที่ ‘หัวใจที่สอง’ คือระบบอัจฉริยะ
หากขยายเวลาออกไปอีก 10 ปีข้างหน้า จะเป็นทศวรรษที่แข่งขันกันเรื่องระบบอัจฉริยะ "ระบบอัจฉริยะ คือจิตวิญญาณของรถยนต์สมัยใหม่และจะกลายเป็นจุดชี้ขาดในอนาคต" รถยนต์เสียวหมี่ เอสยู7 ที่เพิ่งเปิดตัวไม่กี่เดือนมานี้เต็มไปด้วยระบบอัจฉริยะต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งาน ดังนั้นที่รถยนต์อีวีเสียวหมี่ได้รับความนิยมล้นหลามส่วนหนึ่งคือระบบอัจฉริยะ ที่หลายอย่างแก้ปัญหาจุดที่เจ็บปวด (Pain point) ของผู้บริโภคได้ ในฐานะที่เสียวหมี่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่กระโดดเข้ามาทำรถยนต์คือข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติของเสียวหมี่ สิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจากเสียวหมี่คือความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการสั่งสมเทคโนโลยีของเสียวหมี่ ได้ถูกนำมารวบรวมและใส่ไว้ใน ‘เสียวหมี่ เอสยู7’
‘เสียวหมี่ เอสยู7’ เป็นรถยนต์ซีดานแบบ 4 ประตู มีหลากหลายสีให้เลือก การออกแบบสวยงาม ทันสมัย และหลายคนมองว่าการออกแบบของรถเสียวหมี่คล้ายคลึงกับรถยนต์ซีดานจากค่ายปอร์เช่ จนได้รับขนานนามเป็นรถลูกผสมระหว่างเสียวหมี่กับรถปอร์เช่ (Porsche) ที่คนจีนเรียก หมี่สือเจี๋ย (米时捷) (มาจาก 小米 (Xiaomi)+保时捷 (Porsche))
นายเหลย จวิน ผู้ก่อตั้งเสียวหมี่ กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวรถอีวีรุ่นแรกของบริษัทว่า “ตลอด 3 ปีของการทำงานหนักของพวกเรา พบว่าระหว่างเรากับปอร์เช่ยังห่างชั้นกันมาก ปอร์เช่เป็นบริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลก ในตอนนั้นเราเลือกที่จะเอาปอร์เช่เป็นตัวอย่าง ถ้าเราพากเพียรไปอีก 8-10 ปี สุดท้ายเราจะแซงปอร์เช่ได้ในที่สุด” จากคำพูดดังกล่าวพอจะสะท้อนให้เห็นว่า นายเหลยจวิน คาดหวังและทุ่มเทมากในการเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดรถยนต์อีวี
มีการวิเคราะห์เหตุผลที่ทำให้รถยนต์อีวีเสียวหมี่ตัวแรกนี้ได้รับความนิยมสูงเกินความคาดหมาย ดังต่อไปนี้
- ชื่อเสียงของแบรนด์ เสียวหมี่เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียง ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ภายในบ้านระบบอัจฉริยะจากเสียวหมี่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค เสียวหมี่จึงมีห่วงโซ่ระบบนิเวศของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นรถยนต์อีวีก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มเข้ามาในระบบนิเวศใหญ่ของบริษัท ทำให้อิทธิพลของแบรนด์เสียวหมี่มีเพิ่มขึ้นไปอีก
- ความคุ้มค่าและตอบสนองความต้องการของตลาดได้ตรงจุด จากเทรนด์รักษ์โลกและความต้องการรถยนต์อีวีที่มีเพิ่มขึ้น เสียวหมี่ออกรถยนต์ที่ตรงใจผู้บริโภค ออปชันอัดแน่นในราคาล้านบาทต้นๆ ดีไซน์สวย มีหลายสีให้เลือก
- นวัตกรรมเทคโนโลยี การลงทุนอย่างต่อเนื่องของเสียวหมี่ในด้านเทคโนโลยีรถยนต์ โดยเฉพาะนวัตกรรมการขับขี่อัจฉริยะและอินเทอร์เน็ตของยานพาหนะ ทำให้รถยนต์อีวีเสียวหมี่มีความได้เปรียบทางเทคนิคบางประการเมื่อเทียบกับรถยนต์ค่ายอื่น
- ฐานแฟนคลับ (กลุ่มลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์สินค้า) ของเสียวหมี่มีอยู่มหาศาล กลุ่มคนนี้คาดหวังกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของเสียวหมี่ แน่นอนว่ารถยนต์อีวีเสียวหมี่สร้างไวรัลได้อย่างรวดเร็ว กลุ่มแฟนคลับต่างอยากจับจองรถยนต์เสียวหมี่ เกิดกระแสการบอกต่อปากต่อปากอย่างรวดเร็ว
- การร่วมมือกับอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างแข็งขัน รถยนต์เสียวหมี่ได้ร่วมมือกับกลุ่มพัฒนาในภาคบริการการเดินทางและกลุ่มบริษัทสถานีชาร์จไฟฟ้า เพื่อให้บริการกับลูกค้ารถยนต์เสียวหมี่ได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
- การวางตำแหน่งทางการตลาดที่แม่นยำ รถยนต์อีวีเสียวหมี่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับสูง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่คุ้มค่า มุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ชื่นชอบเทคโนโลยี มีความคุ้มค่า เจาะผู้บริโภครุ่นใหม่วัยทำงานเหมาะเป็นรถสำหรับครอบครัว เป็นต้น
สำหรับตลาดรถยนต์อีวีจีนในปีนี้การแข่งขันด้านราคายังแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดรถยนต์ต่างออกมาให้ความเห็นค่อนข้างตรงกันว่า “ภายใต้สงครามราคาปีนี้ไม่รู้ว่าจะมีกี่บริษัทที่ไปไม่รอด” เสียวหมี่ใช้เวลาเพียง 3 ปีในการผลิตและเปิดตัวรถยนต์ของตัวเองสู่ตลาด นับจากวันที่บริษัทประกาศต่อสาธารณชนว่าจะผลิตรถยนต์อีวีในปี 2021 นับว่าบรรลุเป้าหมายรวดเร็วมาก แสดงถึงห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตของเสียวหมี่ที่มีความพร้อมสูง ในยุคพลังงานใหม่ แบตเตอรี่และเทคโนโลยีการควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ไฟฟ้าในจีนมีความสมบูรณ์มาก ไม่มีข้อจำกัดเหมือนรถยนต์สันดาปที่ผู้ผลิตแต่ละรายต่างมี “Core technology” ของตัวเองทำให้ยากต่อการเลียนแบบและแข่งขัน
ในปีที่แล้วจีนมีกำลังการผลิตรถยนต์ได้ทั้งปีเกือบ 10 ล้านคัน ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ตามมาคือการเกิดอุปทานส่วนเกินจากการขยายการผลิต ในบริบทของสงครามราคานี้ ใครสามารถอยู่รอดได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้นทุนโดยรวมของใครต่ำกว่ากัน และความสามารถทำกำไรของใครแข็งแกร่งกว่า!
สิ่งที่เสียวหมี่ทำได้ดีมาตลอดคือ บูรณาการการผลิต ถึงแม้ว่ารถยนต์อีวีเสียวหมี่รุ่นแรกนี้จะประสบภาวะขาดทุนมากในช่วงแรกอย่างแน่นอน แต่เสียวหมี่ยอมที่จะขาดทุน ทำรถยนต์อีวีคุณภาพดีออกมาในตลาดก่อน ให้สินค้าติดตลาดและผู้ใช้บอกต่อปากต่อปาก อีกประการคือธุรกิจสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ยังทำกำไรต่อเนื่อง บริษัทมีเงินสดมากกว่า 1.3 แสนล้านหยวน และยอดเงินสดนี้ยังเติบโตได้อีกอย่างต่อเนื่อง กระแสเงินสดที่เป็นบวกจากธุรกิจดั้งเดิมของเสียวหมี่ยังพอสามารถชดเชยและหล่อเลี้ยงชดเชยการขาดทุนในธุรกิจยานยนต์ของบริษัทได้
อีกประการที่สำคัญที่สุดคือ เสียวหมี่และนายเหลยจวิน ได้ออกสื่อหลายครั้งในสื่อรัฐบาล สถานีโทรทัศน์กลางแห่งจีนแสดงถึงการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอย่างเต็มที่ ซึ่งรถยนต์อีวีเสียวหมี่จะกลายเป็นหัวใจการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตของเมืองปักกิ่งและภูมิภาคโดยรอบ (เทียนจินและเหอเป่ย) ดังนั้น รัฐบาลปักกิ่งจะทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ของเสียวหมี่ประสบความสำเร็จ