โดย ร่มฉัตร จันทรานุกูล
ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวไทยจีนจะทราบว่าในช่วงนี้ ถึงแม้ว่าไทยให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวไทยไม่เป็นไปตามเป้า ทั้งในส่วนของการเดินทางมาท่องเที่ยวเอง หรือเป็นการเดินทางมาแบบกรุ๊ปทัวร์
เหตุผลที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยน้อยลงมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศจีนที่ซบเซา คนจีนใช้จ่ายน้อยลง ข่าวอาชญากรรมและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังระบาดและก่อเหตุให้คนหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง
อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์สื่อไทยไว้คือ “ต้องจับตากลุ่มเน็ตไอดอลและอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย” คนพวกนี้เผยแพร่คลิปสื่อสารกับกลุ่มแฟนคลับคือคนจีนแผ่นดินใหญ่อย่างสม่ำเสมอ และมักจะทำหัวข้อและสร้างคอนเทนต์ให้ดึงดูดความสนใจ ดึงยอดวิว ยอดไลก์จากคนดู
ช่องคลิปที่มีคนติดตามเยอะจะสามารถหารายได้จากช่องได้ และการแข่งขันกันทำคอนเทนต์ในโลกโซเชียลมีเดียปัจจุบันมีมาก ดังนั้น หากจะดึงดูดคนดู ดึงดูดยอดไลก์ ดึงดูดคนติดตามก็ต้องพยายามหาคอนเทนต์ที่แหวกแนว ไม่เหมือนใคร ทำให้ปัจจุบันการทำคอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์บางกลุ่มไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสังคมมากนัก เพราะความเห็นแก่ตัว คิดแต่ผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับด้านเดียวมากกว่า
ประเด็นดังในไทยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออินฟลูเอนเซอร์จีนสาวสวยรายหนึ่งที่ใช้ชีวิตในไทย ใช้ไทยเป็นฐานหาโอกาสในการทำธุรกิจ อยู่ไทยกินหรูอยู่สบาย สร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับ “เที่ยวไทยไม่ปลอดภัย” โดยคลิปล่าสุด เธอได้นุ่งน้อยห่มน้อยไปเดินในซอยนานา และพูดเตือนว่า “ผู้หญิงคนเดียวอย่ามาที่นี่” ในคลิปแสดงให้เห็นภาพมีผู้ชายมาจับเนื้อต้องตัว ถูกมอง เป็นต้น คลิปต้นเรื่องนี้ถูกโพสต์ในแพลตฟอร์มโต่วอิน (ติ๊กต็อกเวอร์ชันประเทศจีน) และแพลตฟอร์มยอดนิยมในจีน อย่างโถวเถียว (Toutiao) และช่องอื่นๆ ได้รับความสนใจมียอดดูมากมาย เพราะเธอเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่ทำด้านประเทศไทยและมีฐานแฟนคลับคนจีนมหาศาลถึงหลักล้านขึ้นไป จึงใช้ประโยชน์ตรงนี้ไลฟ์สดขายสินค้าบนช่องทางของตัวเอง และแน่นอนว่าสินค้าที่เธอขายส่วนใหญ่ก็คือสินค้าไทย รวมไปถึงการขายพระเครื่องไทยด้วย
มีการรายงานว่า เธอทำคอนเทนต์ “ลักษณะดิสเครดิตไทย” ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เคยมีการทำคอนเทนต์ลักษณะนี้มาก่อนแล้ว แต่อาจจะเพราะ “คลิปซอยนานา” ของเธอดัง และสื่อไทยให้ความสนใจจึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา
อย่างที่ทุกท่านทราบคนจีนที่ย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตในประเทศอื่นมีจำนวนมหาศาล ทั้งใช้ชีวิตทำธุรกิจสีขาว สีเทา ไปเรียนไทยก่อนหางานแล้วย้ายถิ่น เป็นต้น เพราะโอกาสและเงื่อนไขต่างๆ ที่เขามองเห็นจากไทย ซึ่งพอประมวลได้ดังนี้
หนึ่ง ในระดับรัฐบาลไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนมาตลอด ไม่มีประเด็นหรือข้อพิพาทที่รุนแรงระหว่างกัน ทำให้คนจีนสบายใจที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ในไทย เชื่อว่าทางการไทยจะดูแลและได้รับการปฏิบัติอย่างดี
สอง ประเทศไทยเป็นประเทศที่จะทำอะไรก็ง่าย กฎระเบียบหลวมๆ ขอแค่มีเงินอยากทำอะไรไฟเขียวผ่านตลอด (กล่าวโดยทั่วไป) เจอตอปัญหาใหญ่หน่อยยัดเงินก็ผ่าน ผู้เขียนเชื่อว่าประเด็นนี้คนไทยจำนวนมากก็ทราบดีอยู่
สาม การแข่งขันยังไม่รุนแรงเหมือนจีน ประเทศไทยมีทรัพยากรมากมายแต่ประชากรไม่มาก คนไทยใจดี คนจีนเข้ามาไทยใช้วิธีการพ่อบุญทุ่ม หรือพยายามโปรยผลประโยชน์ ง่ายๆ แค่นี้คนไทยหลายคนก็ติดหล่มแล้ว กลายเป็นลิ่วล้อของคนจีนไป
คนจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาไทยส่วนหนึ่งมาหากินทำคอนเทนต์สร้างตัวเองเป็นเน็ตไอดอลมุ่งแต่หารายได้ ผู้เขียนได้เห็นคลิปคนจีนอยู่ไทยมากมาย ทำคลิปประเด็นเรื่องอสังหาฯ ไทย ขั้นตอนการซื้อบ้านไทย การซื้อที่ดินไทย ชี้ช่องการทำธุรกิจในไทย ไปจนถึงให้ความเห็นประเด็นปัญหาสังคมต่างๆ ของไทย ทั้งเรื่องยาเสพติด กัญชาถูกกฎหมาย อาชญากรรมต่างๆ ขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ไปจนถึงความปลอดภัยในการใช้ชีวิตในเมืองไทย เป็นต้น
คนจีนที่อยู่ไทยสามารถสื่อสารและเข้าใจสิ่งที่คนจีนอยากรู้ได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นในช่วงไหน ประเด็นไหนในโซเชียลมีเดียที่คนติดตามเยอะเป็นข่าวฮอต อินฟลูเอนเซอร์จีนจะแห่กันไปทำคอนเทนต์ประเภทนั้นๆ เยอะเหมือนไฟลามทุ่ง
อย่างเช่นประเด็นดังหนึ่ง “เที่ยวไทยไม่ปลอดภัย ถูกวางยาและไปตัดไต” กลายเป็นข่าวดังในจีนไปพักใหญ่ๆ คนจีนส่วนใหญ่เชื่อและเห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกอาชญากรก็พูดกันปากต่อปาก (ต้องบอกว่าคนจีนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่เคยไปเที่ยวไทย) พอประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นที่ผู้คนในโซเชียลสนใจ อินฟลูเอนเซอร์จีนก็แห่กันทำคอนเทนต์ประเด็นดังกล่าว พูดเรื่องไทยไม่ปลอดภัยแตกย่อยมากมายหลายประเด็น
แต่สิ่งที่ผู้เขียนสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ กลุ่มคนจีนบางคนใช้ชีวิตอยู่ไทย ถึงแม้ว่าตัวเองจะทำคอนเทนต์ไทยไม่ปลอดภัย ไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้... แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตทำมาหากินอยู่ในไทยจนปัจจุบัน!
ผู้เขียนลองใช้คำว่า “ไทยไม่ปลอดภัย” สืบค้นข้อมูลบนเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของจีน คือ ไป๋ตู้ (Baidu) ผลปรากฏว่าเจอข้อมูลเกี่ยวข้องประมาณ 47 ล้านชิ้น!
ข้อมูลข่าวสารด้านการเที่ยวไทยไม่ปลอดภัยมีมากมายจนเพื่อนรอบตัวผู้เขียนที่อยากจะไปเที่ยวไทยต่างส่งข้อความมาหาทุกคน ถามว่าไปไทยตอนนี้ปลอดภัยไหม? มีอะไรที่ต้องระวังบ้าง? บางคนถามถึงขนาดลงเครื่องแล้วจะต้องทำตัวยังไง จะถูกลักพาตัวหรือไม่ เป็นต้น
นอกจากอินฟลูเอนเซอร์จีนมากมายจะเกาะกระแสเรื่องไทยไม่ปลอดภัย อัดคลิปให้ความเห็นกันต่างๆ นานาแล้ว ผู้เขียนยังพบว่าในแพลตฟอร์มเผยแพร่คลิปขนาดกลางถึงขนาดยาวแนวสารคดีให้ความรู้ของจีนอย่าง Bilibili ก็มีการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยของไทย ยกตัวอย่างคลิปหนึ่งที่มีคนจีนดูและคอมเมนต์จำนวนมาก ขอแปลเนื้อหาที่อินฟลูเอนเซอร์จีนพูดในคลิปนี้ มีดังนี้
“ชาวจีน 80 คน ถูกหลอกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย เพราะต้องการเงินเดือนสูง สุดท้ายถูกขายต่อให้แก๊งอาชญากรรมในพม่า รู้สึกซูฮกพวกที่ยังไปไทย ทำไมถึงกล้าไป... ที่ไทยมีคนจีนจำนวนมากถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ ไม่ก็ถูกวางยาและส่งไปพม่า ถูกตัดอวัยวะขาย ถูกดูดเลือดจากร่างกายเอาไปขาย ที่เมืองไทยเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ปี 2006 คนจีนที่ไปทำงานที่ไทยหรือไปเที่ยวไทยหายไปติดต่อไม่ได้ ไทยยังเป็นประเทศที่คนหายตัวไปมากที่สุดในโลก และเป็นแหล่งค้ามนุษย์แห่งใหญ่ ทั้งหมดนี้ฝ่ายทหารบางคนของไทยเข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่มีการออกข่าว“
”ที่ไทยในหนึ่งปีจะมีคนหายตัวไปกว่า 5 แสนคน อย่าไปเที่ยวไทย ข่าวในไทยไม่มีการรายงาน ทั้งเรื่องการค้ามนุษย์และบังคับขายบริการทางเพศ บางคนไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่ไทยเลวร้ายแค่ไหน บางทีซื้อน้ำขวดกินก็อาจจะถูกวางยาและถูกขายไปยังประเทศที่สาม”
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าอินฟลูจีนท่านนี้ได้ข้อมูลข่าวสารแบบนี้มาแต่ใด อ่านเสร็จก็ต้องได้แต่อุทานในใจว่า “หมดคำซิเว่า! ช่างโอเวอร์มั่วซะนี่กระไร!” แถมในคลิปยังมี “คำพูดพาดพิงถึงหน่วยงานรัฐไทยอีก”
ขณะนี้ทางการไทยมีสัญญาณที่จะจัดการกับพวกอินฟลูเอนเซอร์จีนที่ทำคอนเทนต์ “เฟกนิวส์” สร้างภาพลักษณ์ไทยติดลบเสียหาย ผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าทำมานานแล้ว ส่วนแนวทางในการจัดการก็ต้องดูกันต่อไปว่าทางรัฐบาลไทยจะทำอย่างไร? จะมีมาตรการเด็ดขาดแค่ไหน? เพราะการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ณ ขณะนี้ต้องใช้หลัก “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แล้ว
ในจีนเองมีข้อมูลประเภทนี้มากมายเกลื่อนโลกโซเชียลมีเดีย ทำให้การแก้ปัญหานี้การสื่อสารประสานงานระหว่างรัฐอาจจะต้องทำให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ให้ทางการจีนตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวที่กระทบถึงไทยด้วย สุดท้ายแล้วผู้เขียนหวังว่าคนไทยและท่านผู้บริหารประเทศต้องสามัคคี เด็ดขาด เห็นประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตน.