“สตรีนั้นแบกฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง" เป็นคำกล่าวของเหมาเจ๋อตง
ในโอกาส วันสตรีสากล วันที่ 8 มีนาคม ในด้าน “มุมจีน” ขอนำเสนอวีรสตรีจีนในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีน โดยขอคัดลอกเนื้อหาบางตอนจากบทความ “สตรีเรืองนามของจีน” จากปาฐกถาโดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงแสดงในการประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จัดโดยศูนย์การเรียนรู้จีนศึกษาบรมราชกุมารี สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ.2564
บทความนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าแนะนำประวัติชีวิตวีรสตรีจีน 13 ท่าน “มุมจีน” ขอหยิบมานำเสนอเพียง 5 ท่าน พอเป็นตัวอย่างสะท้อนภาพสตรีจีนและเป็นแรงบันดาลใจในโอกาสของวันสตรีสากลปีนี้
“วีรสตรีชิวจิ่น” (秋瑾) (ค.ศ.1875-1907) ถือว่าเป็นสตรีสมัยใหม่ของยุคสงครามฝิ่น ท่านนี้คนไทยน่าจะรู้จักเพราะมีซีรีส์ในทีวีที่เล่าเรื่องชีวิตของท่านยาวหลายตอน ท่านเป็นนักต่อต้านราชวงศ์ชิง หรือพวกแมนจูเพื่อให้ชาวจีนฮั่นกลับมาปกครองประเทศเช่นเดิม
ท่านเกิดที่มณฑลเซียเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน เกิดในตระกูลผู้มีความรู้ ต่อมาไปเติบโตที่เซ่าซิง มณฑลเจ้อเจียง ท่านมีความสามารถทั้งด้านหนังสือ ทั้งขี่ม้าใช้ดาบ แล้วอะไรที่ผู้ชายทำ ท่านก็ทำได้
เมื่ออายุ 21 ปี บิดาจัดแจงให้ท่านแต่งงานกับบุตรคหบดีชาวหูหนาน แต่แล้วชีวิตสมรสของท่านก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้มีลูกชายลูกสาวท่านก็ไม่อยากอยู่กับผู้ชายคนนี้ ภายหลังลูกสาวของท่านเป็นนักบินหญิงคนแรกของจีน
ท่านชิวจิ่นตัดสินใจไปศึกษาที่ญี่ปุ่น (ค.ศ.1904) ขณะอยู่ที่ญี่ปุ่นก็ร่วมมือกับผู้ที่ต่อต้านราชวงศ์ชิง
เมื่อกลับมาเมืองจีนได้ทำงานส่งเสริมสิทธิสตรี เช่น ส่งเสริมให้สตรีมีเสรีภาพในการแต่งงาน เสรีภาพที่จะได้เล่าเรียน เลิกประเพณีเก่าๆ เช่น รัดเท้าผู้หญิง ต้องการให้จีนปกครองตัวเองไม่อยู่ใต้การปกครองของแมนจู พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมกับประเทศตะวันตก
ในที่สุดท่านชิวจิ่น ถูกจับได้ แล้วถูกประหารด้วยการฟันคอ แต่ท่านก็ขอว่าไม่ให้เอาหัวเสียบประจาน ไม่ให้ถอดเสื้อ ท่านขอเขียนสั่งเสียญาติ แต่ทางการแมนจูไม่อนุญาต
ที่เซ่าซิงได้จัดพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชีวิตของท่านชิวจิ่น แสดงผลงานต่างๆ ของท่าน ท่านมีพรสวรรค์เขียนพู่กันจีนและแต่งบทกวี มีบทที่เขียนว่าถึงตัวท่านเอง แม้นไม่ใช่ผู้ชาย แต่มีจิตใจเข้มแข็งกว่า
มาดามซ่งชิ่งหลิง (宋庆龄)(1893-1981) เป็นภริยาของท่านซุนยัตเซ็น ผู้นำในการปฏิวัติซินไฮ่ แม้ว่าท่านชิวจิ่นไม่สามารถนำเสรีภาพมาให้ประเทศจีน แต่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้อนุชนในยุคสมัยซุนยัตเซ็นที่ทำการปฏิวัติ และประสบความสำเร็จเมื่อปี 1911 มาดามซ่งชิ่งหลิง มีส่วนร่วมในการปฏิวัติและมีบทบาททางสังคม เช่น ช่วยเด็กและเยาวชนให้ได้รับการศึกษา พยายามรวมประเทศรวมแผ่นดินใหญ่กับไต้หวัน
หลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านเคยได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดี และตำแหน่งประธานประเทศกิตติมศักดิ์
มาดามซ่งชิ่งหลิง มีบ้านอยู่ในบริเวณตำหนักที่พระเจ้าผู๋อี๋เคยประทับอยู่ตอนทรงพระเยาว์ ทางการจีนก็จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ของมาดาม
มาดามเติ้งอิ่งเชา (邓颖超) (1904-1992) เป็นภริยาของนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีท่านแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านเป็นผู้นำสตรีรุ่นแรกสมัยเดินทางไกล (Long March) ไปกับประธานเหมาเจ๋อตง
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระอักษรเล่าประสบการณ์ของพระองค์ในบทความว่า
“ตอนที่ไปเมืองจีนครั้งแรกปี 1981 นั้นได้พบกับมาดามเติ้งอิ่งเชา ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศจีน ตอนนั้นเขาบอกว่ามาดามจะมาสักชั่วโมงหนึ่งแล้วก็กลับไป มาดามจะไม่ชนแก้ว มาดามจะไม่ทำโน่นจะไม่ทำนี่ แต่ว่าพอไปถึง มาดามทำทุกอย่างที่เขาบอกว่ามาดามจะไม่ทำ แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆ สนุกสนาน พอดีรัฐมนตรีที่ทางการจีนให้ไปดูแลคือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศชื่อท่านหวังโย่วผิง ท่านเคยเดินทางไกลเหมือนกัน แต่ว่าเป็นทหารก็ขี่ม้าไป ส่วนมาดามเขาแบกไปเพราะท่านป่วยมากเกือบตลอดทาง เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงที่ไปเดินทางไกลสำเร็จโดยที่ไม่เสียชีวิต ซึ่งมีน้อยคนมากที่จะทำได้ เพราะว่าต้องหลบหนี รบกับญี่ปุ่นระหว่างทาง อดๆ อยากๆ”
“อีกเรื่องที่น่าสนใจของมาดามคือ บิดาท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเล็ก มีมารดาที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่คนเดียว แต่สามารถส่งให้ลูกเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยได้ ท่านเป็นผู้นำกลุ่มเยาวชนในขบวนการสี่พฤษภาคม (ค.ศ.1919) และได้ร่วมต่อสู้กับพรรคก๊กมินตั๋งในปี 1927 ทำงานในองค์การสตรีสำคัญๆ เช่น ดูแลสวัสดิภาพสตรี เช่น ดูแลการร่างกฎหมายที่ทำให้สตรีได้รับความเสมอภาค สร้างความมั่นใจว่าสตรีมีความสามารถไม่แพ้บุรุษ
หลินฮุยอิน (林徽因)(1904-1955) เกิดที่เมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง สมัยราชวงศ์ชิง เป็นสถาปนิกชาวจีน นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ที่สำคัญคือเป็นกวี เป็นนักเขียน เขียนบทความ ท่านเรียนจบมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นท่านอยากเรียนสถาปัตยกรรม แต่ว่าเขาไม่ให้ผู้หญิงเรียนจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ แล้วก็พยายามหาความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมเอง สมัยนั้นทั่วๆ ไป สตรีไม่ค่อยมีโอกาสในการศึกษามาก แต่ว่าท่านเกิดในครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งจึงเดินทางไปต่างประเทศกับบิดา และได้ปริญญาทั้งจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
ท่านเป็นสถาปนิกหญิงคนแรกในจีนยุคใหม่ เหลียงซือเฉิงสามีท่านเป็นคนมีชื่อเสียงผู้ได้รับฉายาเป็นบิดาของวิชาสถาปัตยกรรม ได้ก่อตั้งคณะสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มณฑลเหลียวหนิง และที่มหาวิทยาลัยชิงหัว เป็นคนที่อยู่ในทีมออกแบบอาคารสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เป็นผู้ออกแบบตราของประเทศ เป็นต้น
หลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้ไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิงหัว ได้พัฒนาผังเมืองปักกิ่ง และมีบทบาทสำคัญในการวิจัยและอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจีน ได้เขียนหนังสือ แปลงานสำคัญๆ จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน รู้จักกับนักวิชาการนานาชาติ เช่น ท่านรพินทรนาถ ตะกอร์ โปรเฟสเซอร์จอห์น แฟร์แบงค์ ถ้าใครเรียนประวัติศาสตร์จีนก็ต้องอ่านหนังสือของท่านจอห์น แฟร์แบงค์
ท่านหลินฮุยอินได้เป็นล่ามให้รพินทรนาถ ตะกอร์ ตอนมาเยือนจีน ได้รับความชื่นชมมากเพราะภาษาอังกฤษของท่านดีมาก ชั่วชีวิตท่านไม่ได้รับการยกย่องอย่างที่ควร เป็นเพราะว่าเป็นผู้หญิง แต่ภายหลังมีผู้ศึกษาชีวิตของท่าน แล้ว CCTV สร้างภาพยนตร์สารคดีในปี 2010 และหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ลงประวัติของท่านในปี 2018
หลินเฉี่ยวจื้อ (林巧稚) (1910-1983) เกิดที่มณฑลเซียเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน เป็นสูตินรีแพทย์ที่มีชื่อเสียงของจีน แล้วก็ศึกษาหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องการหายใจของเด็กแรกเกิด เขียนบทความลงนิตยสาร American Journal of Obstetrics and Gynecology ซึ่งค้นได้ในอินเทอร์เน็ต
ในด้านหน้าที่การงาน ท่านเป็นคนแรกที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลหญิงของจีน เป็นต้น
ท่านไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก แต่ทำคลอดเด็กถึง 50,000 คน ได้ฉายาว่าเป็นมารดาของเด็ก 50,000 คน ตอนที่ญี่ปุ่นปิดโรงพยาบาล ท่านก็นำผู้ป่วยไปรักษาที่บ้านตนเองรักษาได้ 8,887 เคส
ท่านสอนนักศึกษาเสมอว่าการดูแลผู้ป่วยด้วยตนเองสำคัญกว่าเครื่องมือต่างๆ ทำให้คนไข้รู้สึกถึงความเอาใจใส่
เมื่อเสียชีวิต ท่านได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล แล้วก็บริจาคเงินทำโรงเรียนอนุบาลและเป็นกองทุนสำหรับให้รางวัลแพทย์ประจำบ้าน การไปรษณีย์จีนออกตราไปรษณียากรเป็นเกียรติแก่ท่าน ณ สวนอี๋ว์ บนเกาะกู่ลั่งอี่ว์ บ้านเกิดของท่านมีอนุสาวรีย์ระลึกถึงท่านด้วย
*หมายเหตุ บทความ “สตรีเรืองนามของจีน” โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นี้ ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ “สตรีในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีน” จัดพิพม์โดยสำนักพิมพ์ชวนอ่าน ปี 2564
หนังสือ “สตรีในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีน” เล่มนี้ ยังรวบรวมบทความของนักวิชาการท่านอื่นอีก 6 ท่าน ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของสตรี ทั้งที่มีตัวตนจริงอย่างหลี่ว์โฮ่ว ฮองเฮาในพระเจ้าฮั่นเกาจู่ (หลิวปัง) ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น สตรีกับการศึกษาในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของหนังสือคำสอนสตรีในสังคมพหุวัฒนธรรม จักรพรรดินีเซี่ยวจวงเหวินกับบทบาทการเมืองในราชสำนักแมนจู ตัวละครในวรรณกรรม อย่าง “จย่าอิ๋งชุน” ในนิยายความฝันในหอแดง และตัวละครสตรีจีนในพระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นต้น