วันนี้ (31 ม.ค.) ดาราไต้หวัน อันอี๋ว์ชิง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กลุ่มสื่อในไต้หวัน SETN, TBS, NextTV เป็นต้น ชี้แจงกรณีที่เธอถูกตำรวจไทยเรียกเก็บเงินขณะที่ท่องเที่ยวในไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา อันอี๋ว์ชิงย้ำกับสื่อว่า เธอออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่ออีกครั้ง ไม่ใช่เพราะหิวแสง และก็ไม่ได้ต้องการออกมาป่าวประกาศว่าฝ่ายตำรวจไทยนั้นผิดหรือมั่ว ที่เธอต้องออกมาพูดเพราะไม่ต้องการถูกดิสเครดิตและเสียชื่อเสียง ทั้งตระหนักดีว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะกู้คืนกลับมาได้ทั้งหมด
“ฉันและเพื่อน 4 คนถูกเรียกเก็บเงินรวมกันทั้งสิ้น 27,000 บาท ไม่ใช่ว่าเรียกเก็บเงินจากฉันคนเดียว 27,000 บาท” อันอี๋ว์ชิง แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเงินที่ตำรวจเรียกเก็บไปในวันเกิดเหตุ
ดาราไต้หวันบอกกับผู้สื่อข่าวอีกว่า “สิ่งที่ฉันได้รับทราบมาอีกก็คือ ต้องให้ความร่วมมือกับด่านตรวจ ซึ่งควรมีการแจ้งให้พวกเราทราบว่าพวกเราทำผิดอะไร”
“การมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครองและไม่พกพาสปอร์ตเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้นถูกต้อง แต่ที่ฉันต้องการย้ำคือ ถ้าทำผิดกฎหมายก็ควรออกใบสั่งปรับ แต่คำสั่งที่ฉันได้รับแจ้งมาคือเรียกร้องให้พวกเราจ่ายเงินและหลบกล้องวงจรปิด ส่วนเรื่องราวประเด็นอื่นๆ นั้นขอทุกคนพิจารณาและใช้วิจารณญาณตัดสินกันเอาเอง เพราะในใจของทุกคนก็มีคำตอบอยู่แล้ว” อัน อี๋ว์ชิง กล่าวในการแถลงกับกลุ่มสื่อท้องถิ่น
อัน อี๋ว์ชิง แจกแจง 6 ข้อสงสัยในเหตุการณ์อื้อฉาวโดนตำรวจไทยตบทรัพย์
ในรายงานข่าวของสื่อไต้หวัน SETN.COM ที่เผยแพร่ในวันนี้ (31 ม.ค.) ระบุว่า ดาราสาว อัน อี๋ว์ชิง มาท่องเที่ยวฉลองข้ามปีในประเทศไทย แต่จู่ๆ เธอก็โดนตำรวจท้องถิ่นเรียกเก็บเงิน ต้องจ่ายเงินให้ตำรวจ 27,000 บาท (ประมาณ 24,792 เหรียญไต้หวัน) จึงถูกปล่อยตัว ต่อมาเธอได้เขียนแบ่งปันประสบการณ์นี้ในโลกโซเชียล เมื่อข่าวถูกแพร่กลับมาที่ไทยก็กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใหญ่โต ในตอนแรกฝ่ายตำรวจปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว หนำซ้ำยังบอกว่าดาราไต้หวันทำผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 ม.ค. กระแสข่าวนี้ก็กลับตาลปัตรไปในพลัน โดยมีการออกมาแถลงว่า “มีตำรวจรีดไถเงิน” และกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ ในเช้าวันที่ 31 ม.ค. อันอี๋ว์ชิงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ชุดใหญ่กับสื่อในไต้หวันเพื่อชี้แจงกรณีขัดแย้งนี้ โดยไม่ได้คิดจะใช้หน้าสื่อสร้างกระแสเรียกร้องความสนใจแต่อย่างใด แต่ไม่อยากถูกดิสเครดิต
อัน อี๋ว์ชิง แจงรายละเอียดและตั้งคำถาม 6 ข้อประเด็น ดังต่อไปนี้
1) ‘เหตุการณ์ตรวจค้นบนถนน’ เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างไร เริ่มต้นจากไนต์คลับไปถึงตอนที่ถูกตรวจค้นบนถนน และจบลงอย่างไร...เนื่องจากไนต์คลับปิดตอนตีหนึ่ง ฉันช่วยเพื่อนเรียกแท็กซี่ (grab) ก่อน เมื่อส่งเพื่อนขึ้นแท็กซี่แล้วก็รอแท็กซี่อีกคัน จากช่วงที่รอรถแท็กซี่จนถึงตอนที่เกิดเหตุการณ์กินเวลาสองถึงสามชั่วโมง นั่นคือจากตีหนึ่งไปถึงตีสามกว่าๆ ในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์นั้นฉันไม่สามารถใช้โทรศพท์มือถือได้เลย ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถบอกได้แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องเวลา
หลังจากที่พวกเราถูกตำรวจสกัดและลงจากรถแท็กซี่ สิ่งแรกที่เจอคือโดนค้นกระเป๋า ตอนนั้นฉันคิดที่จะบอกเพื่อนๆ ที่อยู่บนรถแท็กซี่อีกคันว่าฉันถูกตรวจค้นกระเป๋า และถ่ายรูปส่งไปบอกกับเพื่อนว่าฉันกำลังถูกค้นกระเป๋า แต่ตำรวจเข้ามาห้ามไว้ในทันทีและให้ลบรูปภาพ ตำรวจยังให้คนแปลว่าฉันพูดอะไรกับเพื่อน ในตอนนั้นฉันมีสติรู้สึกตัวดีไม่ได้เมา หลังจากนั้น เพื่อนของฉันที่พูดไทยได้ก็เจรจากับตำรวจ ฉันได้แต่ยืนรออยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่าการพูดคุยไม่เป็นไปด้วยดี ในที่สุดเพื่อนของฉันมาบอกกับฉันว่า พวกเขาให้พวกเรานับเงินมา 27,000 บาท และหลบกล้อง จากนั้นเขาก็เอาบุหรี่ไฟฟ้ามาและบอกให้ฉันถ่ายภาพ จากนั้นตำรวจก็ส่งรถแท็กซี่อีกคันมารับพวกเราไป ส่วนรถแท็กซี่คันเดิมที่พวกเรานั่งมาก็ให้ไปก่อน
2) ‘ประเด็นเมาเหล้า’ จะพิสูจน์อย่างไรว่าฉันเมา?
3) ‘ประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า’ ตอนที่ลงจากรถเพื่อให้ตำรวจตรวจค้น ฉันไม่มีบุหรี่ไฟฟ้า ฉันไม่แน่ใจว่าคนอื่นมีหรือไม่มี แต่ตัวฉันไม่มี พวกเรากับเพื่อนรวม 8 คนนั่งแท็กซี่ 2 คัน ฉันไม่สามราถไปค้นดูข้าวของของพวกเขา ดังนั้นที่แน่ๆ ก็คือ ตอนที่กำลังจะออกไป ตำรวจเอาบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือฉันและถ่ายรูป
นอกจากนี้ ระหว่างผ่านด่านตรวจ ฉันไม่ใช่คนยโสโอหังที่ถึงกับสูบบุหรี่ต่อหน้าตำรวจได้ ในคำกล่าวหาบอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นของฉัน แล้วจะพิสูจน์อย่างไรว่ามันเป็นของฉัน ภาพถ่ายและคลิปต่างๆ ก็ถูกลบออกไปหมดแล้ว การรับเงินก็ดูไม่ชัดเจน ในสถานการณ์ที่อยู่ต่อหน้ากล้องสอดแนมจะพูดจามั่วๆ ได้อย่างไร? ฉันจะบอกว่าถูกรีดไถเงินมากกว่านี้ก็ได้ จะมาบอกว่า 27,000 ไปทำไม? อีกอย่างถ้าตอนนั้นฉันมีบุหรี่ไฟฟ้า ก็เขียนใบสั่งปรับมาสิ แต่ฉันไม่เพียงไม่ได้รับใบสั่งปรับใดๆ ยังถูกกักตัวไว้เป็นเวลานาน ถูกเรียกเก็บเงิน 27,000 ...
4) ‘ประเด็นภาพวงจรปิดจากร้านอาหาร’ ฉันถูกรีดไถเงินที่ร้านอาหาร หรือว่าฉันถูกรีดไถเงินที่ด่านตรวจ?
5) ‘ประเด็นเรื่องบุคคลอันตราย’ คนหนึ่งพูดว่าฉันเป็นบุคคลอันตราย อีกคนบอกว่าพวกเราดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ดังนั้น จึงปล่อยตัวไป ถ้าไม่มีพิษภัยอันตรายอะไรแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องอยู่ที่นั่นนานราว 45 นาที ใช่ไหม?
6) ‘ประเด็นตลาดกลางคืน’ โรงแรม/ร้านอาหารอยู่ข้างๆ ตลาดกลางคืน ดังนั้นพอตรวจตราความเรียบร้อยเสร็จเขาก็มาปรากฏตัวที่ถนนสายนั้น นอกจากนี้เขา (ตำรวจ) ยังลูบกระเป๋าของชายคนหนึ่งในกลุ่มเรา คือชายที่เดินอยู่ข้างหน้าในภาพกล้องวงจรปิด ตอนที่ตำรวจลูบกระเป๋าของเขา เขาก็เอาโทรศัพท์มือถือบังไว้ เมื่อตำรวจได้เงินไปแล้วก็ทิ้งเงิน 200 เหรียญไว้ให้ ส่งพวกเรานั่งแท็กซี่อีกคันปล่อยตัวไป (เขาคือคนที่ให้สัมภาษณ์ เป็นฝ่ายตำรวจ)
อันอี๋ว์ชิงบอกว่า การที่เธอออกมาแบ่งปันเรื่องราวที่เธอพบเจอมานี้ก็เพราะอยากเตือนคนอื่นๆ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดผลกระทบใหญ่โตเช่นนี้
“ฉันให้ความร่วมมือกับการสอบสวนแล้ว ส่วนเรื่องประเด็นอื่นๆ ฉันได้ส่งมอบไปหมดแล้ว” อันอี๋ว์ชิง กล่าวปิดการสัมภาษณ์ชุดใหญ่ของเธอ
วันเดียวกัน ดาราสาวไต้หวันยังโพสต์ในเฟซบุ๊กของตน เขียนข้อความขอบคุณอดีต ส.ว.ไทย นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ สำหรับเรื่องที่นาย ชูวิทย์ ออกมาแถลง “ขอโทษในนามคนไทยต่อกรณีตำรวจไทยตบทรัพย์ดาราสาวไต้หวัน” พร้อมกับแนบข้อความสรุปเนื้อหาในแถลงการณ์ขอโทษของของนายชูวิทย์เป็นภาษาจีน
อนึ่ง อดีต ส.ว.ไทย นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อัดคลิปอัปขึ้นเฟซบุ๊กในวันที่ 30 ม.ค.ในคลิปเป็นภาพที่เขา (ชูวิทย์) ขึ้นเวทีติดธงชาติไทย กล่าวแถลงกรณีตำรวจไทยตบทรัพย์เน็ตไอดอลสาวไต้หวัน “ในนามของคนไทย ขอโทษเน็ตไอดอลสาวไต้หวัน ขออภัยอย่างสูงในนามประชาชนคนไทย และหวังว่าชาวไต้หวันจะให้อภัยแก่พวกเรา และยังเชื่อว่าไทยเป็นแหล่งเที่ยวที่ดีแห่งหนึ่ง ขอให้เชื่อว่าคนไทยมีจิตใจรักความเป็นธรรม ขอเน็ตไอดอลอย่ามองประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแต่คอร์รัปชัน ผมจะติดตามเรื่องนี้ และกระตุ้นให้ฝ่ายตำรวจออกมาพูดความจริง จะบอกให้ผู้บัญชการตำรวจ และนายกรัฐมนตรีแก้ไขภาพลักษณ์ของประเทศไทย...”
ในวันนี้ (31 ม.ค.) สื่อในไต้หวันหลายราย ทั้งสื่อรายใหญ่รายน้อยได้เสนอรายงานข่าวกันครึกโครม กรณี “ดาราไต้หวันถูกตำรวจไทยรีดไถเงิน อดีต ส ว.ไทยออกมาแถลงขอโทษในนามคนไทย และแสดงความหวังว่าชาวไต้หวัยจะให้อภัย”
ที่มาข่าว
泰國警方認了勒索!安于晴發6聲明還原案發經過「不想被抹黑
คลิป อันอี๋ว์ชิง ให้สัมภาษณ์สื่อในไต้หวันวันที่ 31 ม.ค.2023 เคลียร์ 6 ข้อสงสัย
คลิป สื่อไต้หวันนำเสนอข่าวตำรวจไทยตบทรัพย์ดาราไต้หวัน และอดีต ส.ว. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาขอโทษในนามของประชาชนคนไทย