สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวาระครบรอบ 13 ปีของเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง 7.9-8 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือนที่อำเภอเวิ่นชวน มณฑลเสฉวน โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ปี 2008 ปลิดชีวิตประชาชนกว่า 87,000 คน
“มุมจีน” ขอนำเสนอเรื่องราวเพื่อเป็นตัวแทนในการรำลึกเหตุการณ์โศกนาฏกรรมนี้ คือ ชีวิตนักเต้นสาวนักสู้ นาม เลี่ยวจื้อ (廖智) เหตุแผ่นดินไหวได้พลิกชีวิตเธอราวกับถูกผลักตกจากฟ้าสู่เหวนรก....ปีแห่งโศกนาฏกรรมใหญ่นั้น เลี่ยวอายุเพียง 23 ปี สูญเสียลูกสาวสุดที่รักวัย 10 เดือน สูญเสียแม่ สูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดของนักเต้นคือขาสองข้าง สูญเสียบ้าน และยังเดินหน้าตัดสินใจหย่ากับสามี แต่สิ่งที่เลี่ยวจื้อไม่ได้สูญเสียไป คือจิตใจนักสู้ที่แกร่งดุจเพชรซึ่งช่วยให้เธอลุกขึ้นมาสลัดความคิดสิ้นหวัง หลังผ่าตัดขาทั้งสองข้างเพียงสองเดือนเธอก็ก้าวขึ้นเวทีการแสดงนาฏลีลาอย่างสง่างาม
*คลิกดูวิดีโอสัมภาษณ์‘เลี่ยวจื้อ’ สาวนักเต้นนักสู้หัวใจแกร่ง เดือนพ.ค.2021
ช่วงก่อนวันครบรอบ13 ปีของเหตุแผ่นดินไหวที่เสฉวน ผู้สื่อข่าวจีนได้ไปสัมภาษณ์อัปเดทชีวิตของเลี่ยวจื้อ วัย 36 ปี ที่บริเวณสระว่ายน้ำแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ เธอเปิดการสัมภาษณ์โดยพูดถึงการอยู่ร่วมในสังคมอย่างคนคิดบวกว่า “จริงๆแล้วตอนว่ายน้ำเป็นช่วงเวลาที่ปลอดคน แต่หากมีคนมองมา ฉันก็ยังรู้สึกชิลมาก พวกเขาอาจมองว่าฉันน่ารักดี”
“ก่อนเกิดแผ่นดินไหวฉันเป็นครูสอนเต้นระบำในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ตอนนั้นมีลูกสาวตัวน้อยคนหนึ่ง ในวันเกิดเหตุฯ ฉันเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวที่เกาะไหหลำกับเพื่อนๆ แต่พอหันมามองลูกน้อยแล้วก็ไม่อาจตัดใจทิ้งลูกให้อยู่คนเดียว บ่ายวันนั้นเอง จู่ๆห้องก็เริ่มสั่นไหวอย่าแรง มีคนตกจากชั้นบนผ่านหน้าฉันไป และฉันก็ล้มไปลงไปรู้สึกว่าเหล็กเส้นได้แทงเข้าไปที่ฝ่าเท้า แต่ตอนนั้นฉันไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากลูกอยู่ไหน ต่อมาก็ไม่ได้ยินเสียงลูกเลย พ่อของฉันวิ่งเข้ามายืนกองซากหักพังร้องเรียกชื่อฉัน “เลี่ยวจื้อ เลี่ยวจื้อ” ตอนนั้นฉันคิดอยากตระโกนว่า “ฉันตายแล้ว” เพื่อให้พ่อออกไป แต่ก็ไม่กล้าตระโกนเพราะเขาจะรู้ว่าฉันยังไม่ตาย ฉันได้แต่ทนๆและคิดในใจว่า “ทำไมไม่ออกไปเสียทีๆ” และพ่อเป็นคนแรกที่พบฉัน
เลี่ยวจื้อถูกฝังอยู่ใต้กองซากหักพังเกือบ 30 ชั่วโมง กว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถช่วยเธอออกมา...ขณะที่แม่และลูกสาววัย 10 เดือนจากไปอย่างมีวันกลับมาแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยพาเลี่ยวนั่งรถ 10 กว่ากิโลเมตรจึงถึงโรงพยาบาล เธอต้องเซ็นชื่อเองในใบยินยอมให้แพทย์ผ่าตัดขา
ตอนที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ฉันภาวนาว่าหากเทพเจ้าช่วยให้ฉันรอดชีวิตออกไปได้ ฉันจะทุมเททั้งชีวิตให้กับการเกิดใหม่ครั้งที่สอง
เมื่อถูกถามถึงสามี เลี่ยวจื้อ เล่าอย่างเปิดเผยว่า
“จริงๆต้องเรียกว่าอดีตสามี ก่อนแผ่นดินไหว ชีวิตแต่งงานของเรามีปัญหามีช่องว่างกันมากเหลือเกิน หลังแผ่นดินไหวใครๆต่างมองว่า ไอ่หยาา! ขาก็ไม่มีแล้วปลงตกเสียเถิดนะ ทนๆชีวิตไปเถอะ แต่ฉันทนมาถึงจุดนี้แล้ว ดังนั้นแม้ไม่มีขา ฉันก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว...หย่ากับสามี
“ฉันอาจเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อุปสรรคคนหนึ่ง หลังจากที่ตัดขาสองเดือน ฉันก็หวนคืนสู่เวทีการแสดงเต้น วันที่ฉันกลับไปเต้น กระดูกที่ขายังโผล่ออกมาให้เห็น ขณะที่ม่านเปิดขึ้น เสียงกลองดังกระหึ่ม ฉันรู้สึกว่าเหมือนกับตัวทั้งตัวลอยขึ้นมา
เดือน ก.ค. 2008 เลี่ยวจื้อเปิดการแสดง “เต้นระบำกลอง” 《鼓舞》ซึ่งเป็นการแสดงที่ทำให้เธอมีชื่อเสียง
เดือน ม.ค.2009เลี่ยวจื้อกลับบ้านเกิดไปเปิดการแสดงเพื่อระดมทุน ชาวเน็ตหนึ่งแสนคนได้ให้การสนับสนุน
เดือน เม.ย. 2013เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองหยาอัน มณฑลเสฉวน เลี่ยวจื้อรุดเดินทางไปเป็นอาสาสมัครในเขตแนวหน้า ภาพเลี่ยวจื้อสวมถุงพลาสติกคลุมศีรษะขณะทำงานเป็นอาสาสมัครในพื้นที่แนวหน้าของเขตประสบภัย ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำไหลรินทั้งเหงื่อทั้งน้ำฝนจนแยกไม่ออก ชาวเน็ตเข้าใจผิดว่าสาวสวยในภาพนี้คือ ดาราดัง
จางปั๋วจือ และกลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลแดนมักร
ปี 2013 ชนะรางวัลที่สองในการประกวดการแสดงเต้น “ระบำชีวิตของฉัน” 《舞出我 人生》จากสถานีโทรทัศน์กลางแห่งจีน
ปี ส.ค. 2013 ออกหนังสือเล่มใหม่ “เลี่ยวจื้อขอบคุณปณิธานอันงดงามแห่งชีวิต”《廖智: 感谢生命 的美意》
ปี 2013 ในวันเด็ก เลี่ยวจื้อเข้าพิธีแต่งงานกับผู้เชี่ยวชาญประดิษฐ์ขาเทียมชาวจีนสัญชาติอเมริกัน ‘ชาร์ลส์’
ตอนที่คบกับชาร์ลส์ใหม่ๆ ตอนนั้นเวลาฉันสวมขาเทียมมักจะปกปิดห่อหุ้มให้ดูสวยงาม เขาบอกว่าทำไมสวมขาเทียมแล้วดูไม่สวยล่ะ วันนั้นเขาบอกให้ฉันสวมชุดกระโปรงสั้นแล้วออกไปเดินเที่ยวกัน จากนั้นเราก็นัดพบกันควงกันไปเดินเล่นเที่ยวตามที่ต่างๆ
กลุ่มคนที่มองมาที่ฉันตรงๆอย่างเปิดเผย มีสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือเด็ก กลุ่มหนึ่งคือคนสูงอายุ ดังนั้นเวลาเจอเด็กๆฉันจะถอดขาเทียมออกมาต่อหน้าพวกเขาและบอกว่า “เข้ามาดูสิ...ดูได้เลย” และมักจะมีพวกผู้ใหญ่ทำท่าทางขยาดกลัว ทัศนะท่าทีของผู้ใหญ่มีอิทธิพลต่อเด็กๆ ทำให้เด็กๆรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือเปล่านะ? ถ้าฉันไม่เดินออกมาก็ไม่มีใครแก้ไขวิธีคิดของคนพวกนี้ไปตลอดกาล
ตั้งแต่เรารักกันมา เราไม่เคยดิ้นรนไขว่คว้าสร้างจุดแข็งอะไรขึ้นมา ดังนั้นชาร์ลส์มักพูดเปรียบเทียบว่า “เธอไม่มีขา ต้องสวมขาเทียมทุกวัน ส่วนฉันสายตาไม่ดี ต้องสวมแว่นสายตาทุกวัน ก็เหมือนๆกัน”
อย่างเช่นเวลาไปอัดรายการที่สถานีโทรทัศน์ผู้คนมักคิดว่า คุณช่างเป็นคนใจดีจริงๆ คุณเป็นคนจิตใจงดงามเหลือเกินที่แต่งงานกับเลี่ยวจื้อยอมรับเธอมาเป็นภรรยา ชาร์ลส์ก็พูดว่า “ทำไมคนอื่นพากันคิดว่าการที่ฉันแต่งงานกับเธอแสดงว่าฉันเป็นคนจิตใจงดงาม ทำไมพวกเขาไม่เชื่อจริงๆหรือว่าฉันชอบเธอจริงๆ
ชาร์ลส์บอกว่า “เวลาที่เราเข้าไปดูโซเชียลมีเดียอย่าง โต่วอิน (ติ๊กต็อก) ได้อ่านข้อความวิจารณ์มากมาย ไอ่หยา! น่าเสียดายจริงๆ หลายคนต่างพูดว่าคุณเป็นคนดีวิเศษจริงๆ แต่จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนวิเศษอะไร ผมได้พบคนที่คิดว่าดีที่สุดคนหนึ่งแล้ว
เลี่ยวจื้อเล่าชีวิตในวันแต่งงานว่า ตอนเข้าพิธีแต่งาน เขาบอกกับฉันอย่างตั้งอกตั้งใจว่า ในวันแต่งงาน “ผมอยากล้างขาให้คุณนะ อยากจะสวมขาเทียมให้คุณด้วยตัวเอง” ฉันถามว่า ทำไม? เขาว่าเพราะนี่คือด้านหนึ่งของเธอที่ครบถ้วนจริงๆ ความงดงามในความรักของเราอยูที่..เมื่อชีวิตเราเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น เริ่มเผชิญหน้ากับศึกท้าทายและบททดสอบมากมาย พวกเราสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ยากที่สุด