กลุ่มสื่อต่างประเทศ รายงานสถานการณ์ต่อต้านจีนของสหรัฐอเมริกาที่ มีคำสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ระบุเหตุผลคำสั่งปิดกงสุลว่าเป็น “ ความจำเป็นในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกา” และสมาพันธ์มาร์โกรูบิโออ้างว่าสถานกงสุลเป็น “ศูนย์สายลับขนาดใหญ่”
นอกจากนั้น ไม่มีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ฮูสตันเป็นตัวเลือกที่แปลกสำหรับเป้าหมายข้อกล่าวหาด้านข่าวกรอง กิจกรรมที่อ้างโดยฝ่ายบริหารนั้นคลุมเครือ แม้ว่าหากจะเป็นความจริง ก็ดูจะไม่เกินกว่าที่สหรัฐฯ เคยกล่าวหาการจารกรรมอื่น ๆ ของจีนที่ผ่าน ๆ มา
งานข่าวกรองจีนในสหรัฐอเมริกานั้นส่วนใหญ่จะเน้นไปที่สถานกงสุลซานฟรานซิสโก หรือไม่ก็ในนิวยอร์กและชิคาโก
ส่วนสถานกงสุลฮูสตันส่วนใหญ่ดำเนินการ แต่เรื่องเอกสารวีซ่าแม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเจรจาด้านพลังงานเชิงรุกของจีนก็ตาม
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผยนามให้ข้อมูลว่า สถานกงสุลซานฟรานซิสโก ก็อยู่ในคำสั่งให้ปิดเช่นกัน แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากขนาดและความสำคัญ เพราะเมืองนี้มีประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายจีนจำนวนมากและมีการดำเนินการขอวีซ่าจำนวนมาก ในทางตรงกันข้ามฮูสตันเป็นกงสุลในลำดับที่ยังไม่สำคัญนัก
ในประเด็นที่มีข้อสงสัยเรื่องการเผาเอกสารนั้น บางฝ่ายกล่าวว่าสถานทูตทุกแห่งสำหรับทุกประเทศทั่วโลกจะต้องมีเอกสารลับทางราชการ หรือเอกสารทั่วไป ซึ่งถ้าย้ายเอกสารไปที่อื่นไม่ได้ ก็ต้องทำลายเอกสารทั้งหมดก่อนออกเดินทาง ซึ่งใคร ๆ ก็ทำ สุดแต่ว่าจะวิธีไหน? และในโลกที่ทางการทหารจะพัฒนาไปใช้ 6G กันแล้ว จารชนคงไม่ใช้กระดาษเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
นักวิเคราะห์มองว่า การไม่เปิดเผยหรืออธิบายเหตุผลน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับยั่วยุจีนโดยรัฐบาลทรัมป์ จากที่ยั่วยุต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การแฉให้ประเทศจีนเป็นผู้ร้ายในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การออกข่าวบุคลากรสหรัฐในประเทศจีนถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับพล็อตเรื่องราวคำกล่าวหาของหน่วยงานซีไอเอ และการโจมตีครั้งใหญ่ทางไซเบอร์ ทั้งหมดนี้กำลังเพิ่มยกระดับขึ้นหลังจากที่จีนผ่านกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง ยังมีความเคลื่อนไหวในทะเลจีนใต้ และปัญหาชายแดนจีน-อินเดีย
นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ บางส่วนมองว่า การโหมยกระดับต่อต้านจีนทั้งตรงและอ้อมเหล่านี้ในจังหวะเวลานี้ มีนัยยะสำคัญที่ต้องพิจารณาอะไรบ้าง เหมือนการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว โดยเป้าหมายที่แท้จริงนั้น อาจเป็นทั้งกลยุทธ์การเลือกตั้ง และการกดดันกิจการต่าง ๆ ของสหรัฐในประเทศจีนให้ออกและทิ้งการลงทุนในจีนโดยสมัครใจ แต่ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม คาดว่าความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน คงจะเลวร้ายลงในอนาคตอันใกล้ นอกเสียจากว่ามีการเปลี่ยนแปลงผู้นำทรัมป์ ซึ่งมีจุดแข็งเดียวในเวลานี้คือ "ข่มจีนอยู่"