เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อจีน รายงาน (7 พ.ย.) อัตราการเติบโตของเซินเจิ้นลดลงเหลือร้อยละ 6.6 ระหว่างเดือน ม.ค. - ก.ย. จากร้อยละ 7.4 ในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่อัตราการส่งออกร่วงลงร้อยละ 9.3 โดยเป็นผลจากแรงกดดันของสงครามการค้าจีน - สหรัฐฯ
รายงานระบุว่า อัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบ 40 ปี และมีความสำคัญในแง่ที่ว่า การเติบโตของเซินเจิ้นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน และยังเป็นฐานสำคัญของวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่สุดของจีน เช่น หัวเว่ย และเทนเซนต์
อัตราการเติบโตดังกล่าวสร้างแรงกดดันให้ปักกิ่งที่มีแผนปั้นมหานครเซินเจิ้นให้เป็น “เมืองสังคมนิยมตัวอย่าง” สำหรับจีนและสำหรับโลก และเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจในภาวะที่จีนต้องเผชิญสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เซินเจิ้นยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเขตอ่าวใหญ่กว่างตง-ฮ่องกง และมาเก๊า หรือเกรทเตอร์ เบย์ แอเรีย (Greater Bay Area: GBA) ซึ่งจีนหวังจะพัฒนาให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อแข่งขันกับเขตเศรษฐกิจในอ่าวอื่น ๆ เช่น ซานฟรานซิสโก และโตเกียว
นายกัว วั่นต๋า รองประธานสถาบันพัฒนาชาติจีน (China Development Institute) เห็นว่า รัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในภาคเอกชน
ทางด้านนางซินดี้ หวง ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ในเซินเจิ้นระบุว่า กลุ่มคนที่อยู่ในวงการธุรกิจต่างทราบดีว่า การประกอบกิจการในช่วงนี้มีความยากลำบาก อย่างไรก็ดี ข้อมูลการเติบโตดังกล่าวเป็นสิ่งสะท้อนว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่แย่จริง ๆ นอกจากนี้ ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจยังกดดันให้เจ้าของอาคารสำนักงานต้องลดราคาค่าเช่าลง เพื่อไม่ให้อาคารของตนกลายเป็นอาคารร้าง