xs
xsm
sm
md
lg

เจาะลึก “Taobao Village” โมเดลประชารัฐ พาชนบทสู่ยุคธุรกิจ 4.0

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวมุมจีน


หากมีเพื่อนชาวจีนบอกว่าจะพาคุณไปเที่ยวห้างที่ทั้งตึกขายแต่ตุ๊กตา...

ขอให้คุณลองจินตนาการภาพนั้นเสียหน่อย...

หากคุณเห็นมันเป็นเหมือนตึกขายของเล่นในย่านชิบูย่าของโตเกียว หรือร้านขายของที่ระลึกในดีสนีย์แลนด์ ก็ต้องบอกได้เลยว่าผิดถนัด!

สิ่งที่ผู้เขียนเห็นกับตาคือ ตึกขนาดใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เต็มไปหมด และขายตุ๊กตาหลายร้อยหลายพันแบบ แต่พวกมันถูกวางบนชั้นอย่างขอไปที บ้างก็ถูกยัดอยู่ในถุงพลาสติกแบบหมดความน่ารักน่ากอด นั่นก็เพราะพวกมันต้องพร้อมที่สุดในการส่งกระจายไปทั่วประเทศ
ภาพ Getty Images
ที่ผู้เขียนต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะว่าต่อหลายครั้งมีคนอยากให้ผู้เขียนพาไปเที่ยวที่ ”หมู่บ้านเถาเป่าชนบท (Taobao Villages; 淘宝村)” ที่ขึ้นชื่อว่ามีสินค้าราคาถูกมากมายให้เลือกช้อปปิ้ง

คลิกอ่าน >> พาณิชย์ จับมืออาลีบาบา คุย “แจ็ค หม่า” ดึง “เถาเป่าโมเดล” แก้ปัญหายากจนในไทย

ผู้เขียนก็ต้องรีบตอบกลับไปว่า เมื่อไปถึงสิ่งที่คุณเห็นคือ ตึกรามบ้านช่องทั่ว ๆ ไป แต่ข้างในเป็นโรงงานขนาดย่อม ทุกคนง่วนกับการผลิต ตอบแชทลูกค้า และแพคของ ไม่มีบรรยากาศใด ๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการช้อปปิ้ง

แต่ที่ชื่อหรือภาพจน์ของ “หมู่บ้านเถาเป่าชนบท” มันช่างดูสวยหรูก็เพราะว่ามันยังต้องอาศัยอีกหลายองค์ประกอบกว่าที่จะทำให้ “สินค้าราคาถูก” ที่เราเห็นในเว็บช้อปปิ้งมันมีพลังพอที่ดึงเงินในกระเป๋าเราไปเสียหมด

และโอกาสนี้เราจึงอยากพาคุณมาเห็น “ภาพรวม” และ “แนวคิด” ที่ก่อกำเนิดให้เป็น “หมู่บ้านเถาเป่าชนบท” โมเดลธุรกิจที่ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวชนบทให้สูงขึ้น ผ่านการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซนั่นเอง!

• อาลีบาบากับความหวังที่ฝากไว้กับ “หมู่บ้านเถาเป่าชนบท”

หลังจากที่อาลีบาบาได้พิสูจน์ให้โลกรู้แล้วว่าผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซของโลกตะวันออกคือบริษัทของตน ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าจระเข้แห่งลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง! (ล้อกับแม่น้ำแอมะซอน จากอเมริกา) โดยการไปปักธงเป็นบริษัทมหาชนระดับอินเตอร์ เดินสง่าเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2557 หรือ 4 ปีที่ผ่านมา

ณ เวทีนั้น อาลีบาบาก็ประกาศกลยุทธ์ทางการค้าต่อชาวโลกที่ชัดเจนว่า จะรุก 3 ด้าน ได้แก่
1. นำอีคอมเมิร์ซบุกชนบท
2.พาองค์กรก้าวสู่ระดับโลก
3.ใช้ประโยชน์จากข้อมูลมหาศาล (Data)

ซึ่งสิ่งที่ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดที่สุดกับกลยุทธ์แรก คือ การนำอีคอมเมิร์ซบุกชนบท นั่นก็คือ การสร้าง “หมู่บ้านเถาเป่าชนบท” ที่เกิดขึ้นจริงทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์

• หมู่บ้านเถาเป่า ถูกตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร?

หากคนทั้งโลกมองว่าอาลีบาบาสำเร็จมากแล้ว เจ้าตัวก็ยังแย้งด้วยความทะเยอทะยานว่า ลูกค้ากว่า 1 ใน 3 ของจีนที่อาลีบาบายังเข้าไม่ถึง ซึ่งคิดเป็นจำนวนกว่าหลายร้อยล้านคนนั้นอยู่ในแถบชนบท ด้วยเหตุนี้ จึงก่อตั้งแนวคิดที่จะสร้าง “หมู่บ้านเถาเป่าชนบท” ซึ่งนอกจากจะมีโรงงานขนาดเล็กมากมายแล้ว ก็จะมี ร้านค้าที่เป็นศูนย์กลาง ที่ทำหน้ารับสั่งซื้อสินค้าจากเมืองหลวง (ให้กับลูกค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการช้อปปิ้งยังไม่คล่องนัก) ซึ่งสินค้าที่พวกเขาต้องการก็เหมือนที่คนในเมืองหลวงใช้กันในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็มักจะเป็นอุปโภคบริโภค เช่น เสื้อยืด ของเล่น แว่นกันแดด แผ่นมาสก์หน้า กระเป๋าเป้ เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ก็ใช้ร้านเดียวกันนี้ เป็นที่รับขนส่งสินค้าท้องถิ่น อาทิ สินค้าเกษตร สินค้าทำมือ สินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตได้ในท้องถิ่น เพื่อขายให้กับคนเมืองอีกด้วย

ซึ่งก็เท่ากับว่าการจัดตั้งหมู่บ้านเถาเป่าชนบทขึ้นมา ทางอาลีบาบาที่นอกจากจะขยายตลาดผู้ซื้อให้มากขึ้นแล้ว ยังได้ช่วยสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ สร้างการจ้างงาน ให้กับพื้นที่ชนบทห่างไกล ทั้งนี้ก็เพื่อยกระดับชีวิตของคนชนบทที่มีอาชีพมีรายได้ดีขึ้น และไม่ต้องเข้ามาแออัดกันในเมืองใหญ่นั่นเอง

แน่นอนว่าแนวคิดนี้ย่อมสอดคล้องกับรัฐบาลของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ต้องการประกาศชัดเจนว่าทั้งแผ่นดินจีนจะปราศจากภาวะความยากจนในปี 2020 ที่จะถึงนี้

• นิยามของหมู่บ้านเถาเป่าชนบท

ตามความหมายของสำนักวิจัยอาลี หมู่บ้านเถาเป่าชนบทจะมีองค์ประกอบที่ชัดเจน ดังนี้

1. เป็นพื้นที่ที่ผู้คนเริ่มต้นธุรกิจแรกผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ โดยใช้ระบบซื้อขายของของเถาเป่า
2. แต่ละปี จะต้องสร้างยอดขายได้อย่างน้อย 50 ล้านบาท
3. อย่างน้อย 10% ของสมาชิกในหมู่บ้านจะต้องเป็นผู้ทำการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ และมีร้านค้าออนไลน์ไม่น้อยกว่า 100 ร้านที่เปิดให้บริการ

ครั้งแรกที่หมู่บ้านเถาเป่าชนบทเปิดตัว ได้ทำกับ 7 พื้นที่ในจีน ได้แก่ หูหนาน เจียงชี ยูนนาน ปักกิ่ง จี๋หลิน เหลียวหนิง และหนิงเซี่ย

อาลีวางแผนที่จะทำให้หมู่บ้านเถาเป่าชนบทได้เข้าถึง 1,000 เทศมณฑล และ150,000 หมู่บ้านทั่วแผ่นดินจีนในอีก 3 ปีต่อจากนี้





• “หมู่บ้านเถาเป่าชนบท” โครงการร่วมของประชารัฐ (ประชาชน+เอกชน+รัฐบาล)

เมื่ออาลีบาบาริเริ่มโครงการหมู่บ้านเถาเป่าชนบทในตอนต้นนอกเหนือจากการปล่อยเงินกู้ และการสร้างระบบเว็บไซต์ให้โพสต์ขายสินค้าได้โดยง่าย รวมถึงจัดคอร์สสอนการขายออนไลน์อย่างยกใหญ่ และที่ขาดไม่ได้คือ การวางเครือข่ายการขนส่งสินค้าให้เข้าถึงพื้นที่ในชนบท

ทางภาครัฐเองก็ยื่นมือมาสนับสนุนเต็มที่ ในส่วนของโครงการพื้นฐานที่จำเป็นต่อการค้าออนไลน์ อาทิ การจัดสรรพื้นที่เขตอุตสาหกรรมพิเศษ เพื่อให้เอกชนเช่าเป็นโรงงานขนาดย่อม ที่มีอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ความเร็วสูง และเครือข่ายมือถือที่ครอบคลุม

ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สปิริตของการปากกัดตีนถีบที่จะผันตัวเองให้เป็น “เหลาป่าน (老板)” คำภาษาจีนที่หมายถึงการเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งมีอยู่ในดีเอ็นเอของคนจีนส่วนใหญ่ด้วย

• หมู่บ้านเถาเป่าชนบท แห่งรวมตัวของ “เถ้าแก่ใหม่แดนภูธร”

จากข้อมูลของศูนย์วิจัยอาลี ในเครืออาลีบาบา ระบุกว่า ในปี 2017 ที่ผ่านมา มีหมู่บ้านเถาเป่าชนบทถูกสร้างขึ้นแล้วกว่า 2,100 แห่ง โดยอายุเฉลี่ยของเจ้าของกิจการคือ 33 ปี และหมู่บ้านที่สร้างเถ้าแก่หน้าใหม่ก็มักมาจากพื้นที่ที่ขึ้นชื่อว่ายากจนข้นแค้นอย่าง “กุ้ยโจว” (เมืองนี้จะเป็นเมืองแรกที่กำลังจะมีการขนส่งผ่านท่ออย่างไฮเปอร์ลูปด้วย)

ถึงแม้เราจะเห็นแต่ในด้านบวกของการมีหมู่บ้านเถาเป่าชนบท แต่ก็ยังมีเสียงสะท้อนถึงปัญหาใหญ่ๆ ที่มักพบในเขตเศรษฐกิจนี้ก็เช่นกัน นั่นก็คือ “สินค้าเลียนแบบ”
ภาพ Getty Images
เพราะทุกหมู่บ้านในแวดวงของเถาเป่าชนบทใช้แนวคิดแบบสตาร์ทอัป คือ สินค้าไหนมีความต้องการจากตลาด จึงคิดผลิต และหากมีมากก็ยิ่งผลิตมาก เช่น ที่ผ่านมาทั่วโลกฮิตของเล่นสเก็ตไฟฟ้า ชุดเต้นรำลาติน หรือ เครื่องมิกซ์เครื่องดื่ม ทีมงานที่นี่ก็พยายามจัดสรรออกแบบสินค้ามาป้อนตลาดต่อเนื่อง

แต่เพราะการทำธุรกิจแบบตามกระแสจึงหนีไม่พ้นที่จะมีคู่แข่งเลียนแบบ ทำให้กำไรหด ซึ่งที่ผ่านมา ทางออกก็คือ การย้อนกลับไปทำในสิ่งที่คนตั้งใจทำธุรกิจอย่างมีทฤษฎีควรจะทำ อาทิ การเน้นสร้างแบรนด์ ออกแบบบสินค้าให้มีความโดดเด่น สร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้า เพิ่มนวัตกรรมสินค้าผ่านการเลือกใช้วัสดุชนิดใหม่ๆ และการผสานเทคโนโลยี รวมถึงการจดสิทธิบัตรให้กับผลงานตัวเอง

• เมืองไทยพร้อมไหมที่จะมีหมู่บ้านแบบ “เถาเป่าชนบท”?

ตามที่เกริ่นไปแล้วว่าสินค้าในหมู่บ้านเถาเป่าชนบทไม่ได้มีแต่สินค้าเกษตร แต่สินค้าที่ทำยอดขายได้ดีจริง ๆ ก็ยังเป็นสินค้าที่คนทั่วไปต้องการ เช่น ข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่นเด็ก รวมไปถึงสินค้าตามเทศกาล เช่น ของประดับวันคริสต์มาสที่ขายอยู่ทั่งโลกก็ล้วนส่งออกมาจากที่นี่เช่นกัน

เมื่อเอาสินค้าเป็นตัวตั้ง ก็ต้องกลับมามองที่ไทยเราว่า เรามีสินค้าใด ๆ ที่เหมาะพร้อมจะเข้าไปแข่งขันในตลาดบ้าง? หากไม่ใช่สินค้าเกษตรกรรม และสินค้าหัตกรรมที่ต้องใช้ฝีมือเฉพาะ จึงผลิตได้เป็นจำนวนน้อย และที่สำคัญไปกว่านั้น สินค้าที่เราผลิตได้ เป็นที่ต้องการของลูกค้าทั้งในและนอกประเทศหรือไม่

คลิกอ่าน >> “สมคิด-สนธิรัตน์” ถก “แจ็ก หม่า” จับมือ “อาลีบาบา” ติวอีคอมเมิร์ช

หากพบประเภทสินค้าเรือธงแล้ว ก็ต้องมาดูว่า สินค้าแบบนี้เราทำคุณภาพและราคาในระดับที่แข่งขันได้หรือไม่? ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็ต่างแพ้ต่อโรงงานในจีนทั้งสิ้น นี่ถึงเป็นเหตุผลให้ว่าสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมมากในจีนและสร้างราคาได้จริง ๆ มักจะเป็นสินค้าที่จีนผลิตได้ หรือทำได้ก็ไม่ดีเท่า เช่น ทุเรียน รังนก หมอนยางพารา น้ำมันมะพร้าว เครื่องหอมที่ใช้สมุนไพรไทย เป็นต้น

กล่าวโดยสรุป การที่รัฐบาลตั้งใจยกโมเดลของหมู่บ้านเถาเป่าชนบทเพื่อมาแก้ปัญหาปากท้องให้กับคนไทยในพื้นที่ห่างไกลนั้น เป็นแนวคิดที่ดี แต่การพร้อมในเชิงการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การจับมือเอกชนมาทำระบบขนส่ง จ่ายเงิน อบรมความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อสู่เป้าหมายเดียวคือ การผลิตสินค้าที่เป็นความต้องการของตลาด ล้วนเป็นงานที่ต้อง “เอาจริง” ที่ต้องลงทั้งแรงและเงิน อย่างจริงจัง


กำลังโหลดความคิดเห็น