ไชน่าเดลี่ - จีนเตรียมจัดพิธีฉลองครบรอบ 70 ปีแห่งชัยชนะในสงครามต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น ( พ.ศ. 2480-2488 ) อย่างยิ่งใหญ่ที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 3 ก.ย. 2558
นาย ฮิโรซูมิ โคบายาชิ ทหารผ่านศึก วัย 96 ปีแห่งกองทัพญี่ปุ่น รู้สึกตื้นเต้นดีใจ ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีครั้งนี้
เมื่อ 70 กว่าปีก่อน โคบายาชิเป็นทหารหนุ่มในกองทัพลูกพระอาทิตย์ ที่ถูกส่งมาย่ำยีแดนมังกร ทว่าสุดท้ายเขากลับสมัครใจเข้าร่วมในกองทัพปลดแอกประชาชน !
ในสายตาของชายชาตินักรบเลือดซามูไร ผู้มอบเกียรติยศครั้งสุดท้ายแก่ตนเองเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูด้วยการคว้านท้องฮาราคีรีนั้น โคบายาชิจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากคนขายชาติ
ทว่าด้วยโชคชะตา ที่พลิกผัน เขาจำต้องเดินไปบนเส้นทาง ที่บีบรัด กระทั่งได้มาพบกับความจริง ซึ่งสามารถเปลี่ยนหัวใจของข้าศึกคนหนึ่งให้กลับกลายมาเป็นมิตรในที่สุด
“ ผมเป็นพลปืนกลเบา ประจำหน่วย ที่มีกำลังพลเข้มแข็งด้วยกัน 10 คนในพื้นที่ติดกับชิงเต่า” คุณปู่ ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านชานกรุงโตเกียว ย้อนความหลัง
โคบายาชิเกิดเมื่อปีพ.ศ.2462 บิดาเป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธ ตำแหน่งเจ้าอาวาสในจังหวัดกันมะ โดยพระภิกษุในญี่ปุ่นมีภรรยาและบุตรได้ ส่วนบุตรชายก็มักเจริญรอยตามบิดา
เมื่อสำเร็จชั้นมัธยมศึกษา โคบายาชิเตรียมบวช และสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสแทนบิดา ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนอาชีพทนายความไปพร้อมกัน
แต่โครงการชีวิต อันเรียบง่ายต้องจบลง เขาถูกเกณฑ์ทหารในปีพ.ศ. 2483 และเข้ารับการฝึกวิชาทหารอย่างหนัก จากนั้น ถูกส่งไปประจำการณ์ในมณฑลซานตง ทางภาคตะวันออกของจีน
ขณะปฏิบัติการเคลียร์พื้นที่บนเทือกเขาในปีพ.ศ. 2484 นั้นเอง หน่วยของเขาก็ถูกกองทัพสายที่ 8 ของจีนซุ่มโจมตี
“ผมบอกกับตัวเองว่า เราควรฆ่าตัวตายดีกว่าถูกจับ” คุณปู่ทบทวนเหตุการณ์
โตชิคาสุ ชิราโตะ เพื่อนทหารได้ขอให้โคบายาชิยิงเขา โคบายาชิจึงตัดสินใจยิงที่ท้อง ไม่ใช่ศีรษะ เพราะยังหวังว่า ชิราโตะอาจจะรอดชีวิต
จากนั้น โคบายาชิได้วางปืนไรเฟิลคู่กายบนตลิ่งแม่น้ำ เล็งปากกระบอกปืนมาที่ตัวเอง แล้วเหนี่ยวไก แต่กระสุนเฉียดเป้าหมาย
“ นอนคว่ำหน้าบนฝั่งแม่น้ำอยู่สักพัก พอเริ่มขยับตัวได้ ผมก็รู้สึกเจ็บและเลือดออกบนหัว ผมผิดหวัง ที่ไม่ตาย” เขาเล่า
นักรบเลือดซามูไรผู้นี้กระเสือกกระสน จะกระโดดน้ำตาย แต่ทหารจีนขัดขวาง แล้วจับเขากับชิราโตะไป ทั้งสองต่อสู้ขัดขืน แต่อีกฝ่ายกลับบอกให้ใจเย็น ๆ และจะรักษาบาดแผลให้
“ระหว่างเดินทางไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทหารพวกนั้นบอกเราว่า พวกเขาไม่ทำร้ายนักโทษ แต่ผมไม่เชื่อหรอก ”
สองเชลยแดนซากุระถูกหามเปลไปยังวัด ทหารจีนคะยั้นคะยอให้กินอาหาร แต่โคบายาชิปฏิเสธ ทั้งที่ท้องร้องจ๊อก ๆ แต่แล้วก็ต้องจำนน
“ ผมคิดเสมอว่า อาหารของคนจีนนั้นกระเดือกไม่ลง แต่พอกินเข้าไปคำแรก ก็ต้องเปลี่ยนใจ คราวนี้เลยกินอย่างตะกละตะกลาม” ทหารผ่านศึกชราเล่า
เชลยศึกได้รับแจกเอกสารของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งญี่ปุ่น เพื่อศึกษา ชีวิตของโคบายาชิจมปลักแห่งความเบื่อหน่ายอยู่นานหลายเดือน กระทั่งวันหนึ่งเขาเริ่มอ่านมันอย่างจริงจัง
“ ผมเติบโตมาในประเทศทุนนิยมและเกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์ในตอนนั้น แต่ยิ่งได้อ่านก็ยิ่งเชื่อในข้อโต้แย้งของพวกเขา และเริ่มรู้ว่า ญี่ปุ่นได้ทำสิ่งเลวร้ายกับจีน”
โคบายาชิจึงตัดสินใจแปรพักตร์
เขากับชาวญี่ปุ่นที่กลับใจไม่กี่คนได้ช่วยจีนก่อตั้งแนวร่วมต่อต้านญี่ปุ่นในซานตง ภารกิจหนึ่งก็คือร้องตะโกนบอกให้ทหารแดนอาทิตย์อุทัยเลิกสู้รบ การเข้าเกลี้ยกล่อมเพื่อนทหารชาติเดียวกัน ที่เคยร่วมทุกร่วมสุขกันมา มันเดิมพันด้วยชีวิต ซึ่งโคบายาชิรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมรัสเซียน รูเล็ตต์อยู่ทุกวัน
โคบายาชิเข้าร่วมในกองทัพปลดแอกประชาชนในปีพ.ศ. 2488 และต่อสู้ในสงครามกลางเมือง แต่ถูกย้ายจากแนวหน้ามาอยู่ในเมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง และพบกับนางพยาบาลชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง จึงแต่งงานกัน
ระหว่างอยู่ในจีน โคบายาชิยังได้ทำงานในเทศบาลนครจี้หนัน มณฑลซานตง และทำงานเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลในเมืองเฟิงเจิ้น เขตปกครองตนเองมองโกเลียใน
กระทั่งในปีพ.ศ. 2498 โคบายาชิและครอบครัวจึงย้ายกลับมายังประเทศบ้านเกิดเมืองนอน โดยรัฐบาลจีนมอบเงินบริจาคให้จำนวน 1 แสนดอลลาร์ฮ่องกง
“ผมจะได้กลับไปเยี่ยมจีนอีกครั้ง ผมมีความสุขเหลือเกินครับ นี่ก็กะเอาไว้ว่า จะพาลูกชาย เขาอายุ 61 ปี ไปเยี่ยมเมืองเฟิงเจิ้นด้วยกัน” ทหารผ่านศึกผู้เป็นฮีโร่ในสายตนชาวจีนกล่าวในตอนท้าย