เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์- ทางการจีนประกาศห้ามการนำเข้างาช้างเป็นการชั่วคราว 1 ปี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่า ความต้องการงาช้างของประชาชนแผ่นดินใหญ่ มีผลคุกคามโดยอาจทำให้ช้างแอฟริกาสูญพันธุ์ในชั่วรุ่นนี้
วันพฤหัสบดีที่ 26 ที่ผ่านมา สำนักงานป่าไม้แห่งรัฐ (State Forestry Administration) ประกาศห้ามการนำเข้างาช้างเป็นการชั่วคราว 1 ปี โดยประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที นับแต่หลังประกาศเป็นต้นไป ทางสำนักงานฯก็จะไม่รับเรื่องร้องขอนำเข้างาช้างทุกรายการ
ในข้อมูลจากรายงานข่าวชี้แจง เจ้าหน้าที่จากสำนักงานป่าไม้ฯ ไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่ง กล่าวกับลีกัล อีฟนิ่ง นิวส์ (Legal Evening News) ว่า ทางเจ้าหน้าที่รัฐหวังว่า การห้ามนำเข้าครั้งนี้จะช่วยตัดลดความต้องการงาช้างแอฟริกา และเพื่อเป็นการช่วยชีวิตช้างป่าด้วย”
เจ้าหน้าที่คนเดิม กล่าวเพิ่มเติมว่า การสั่งห้ามนำเข้าเป็นการชั่วคราวนี้ จะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินผลการปกป้องช้างในขั้นตอนนี้ได้ ก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนอื่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ด้านรายงานจากองค์กร Save the Elephants และ Aspinall Foundation ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อปีก่อน (2557) ระบุว่า ปีที่ผ่านมา มีการขายงาช้างในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ สูงถึง 8,444 ชิ้น ในขณะที่ปี 2545 มีเพียง 5,241 ชิ้น และเฉพาะช่วงปี 2553- 2555 มีช้างป่าถูกสังหารตายไปมากกว่า 100,000 ตัว ซึ่งการสังหารอย่างทารุณนี้ ส่วนใหญ่ได้รับการกระตุ้นจากการค้างาช้างอย่างผิดกฎหมายในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งจีนเองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้
สถิติจากกรมศุลกากรจีน ระบุว่า ทุกปี แผ่นดินใหญ่จะมีคดีลักลอบขายงาช้างราวๆ 800-900 คดี ปักกิ่ง เดลี ยูธ (Beijing Youth Daily) รายงาน นอกจากนี้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการค้างาช้างอย่างถูกกฎหมายเกินกว่าครึ่ง มักพัวพันกับการค้าที่ผิดกฎหมายด้วย
ในขณะที่สัปดาห์ก่อน นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เดวิด แอทเทนโบโรห์ ก็ร่วมมือกับบรรดาคนดังในวงสังคมอีกกว่า 70 คน เรียกร้องให้ปักกิ่งช่วยกันทำให้การค้างาช้าหมดสิ้นไป โดยทั้งหมด ร่วมกันลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อเรียกร้องให้เขาแก้ไขให้การค้างาช้างเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และยังเรียกร้องให้ผู้นำแดนมังกรเร่งให้การศึกษาแก่ประชาชนชาวจีน เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงความจริงที่ว่า ความเสียหายร้ายแรงอันเกิดจากการตัดงาช้างคืออะไร
“ช้างแอฟริกาหลายหมื่นตัวกำลังตายไป เพียงเพื่อให้ได้งาช้างไปให้ผู้บริโภคที่มีความเข้าใจอย่างผิดๆ ทั้งในจีนและที่อื่นๆ” จดหมายเปิดผนึก ระบุ
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ประกาศนี้เกิดขึ้นก่อนการเสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการของเจ้าชายวิลเลียม รัชทายาทอันดับ 2 ของอังกฤษ ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์นี้ เพียงไม่กี่วัน
ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า เจ้าชายวิลเลียมทรงสนพระทัยการต่อต้านการค้างาช้างเป็นพิเศษ เพราะเคยเสด็จเยือนแอฟริกาหลายครั้ง รวมทั้งได้รับอิทธิพลเรื่องต่อต้านการค้างาช้าง ซึ่งเป็นวงการค้าของผิดกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก มาจากพระราชบิดาและพระอัยกาอีกด้วย
นอกจากนี้ เจ้าชายอังกฤษ วัย 32 ปี พระองค์นี้ ยังทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ขององค์กรทัสค์ (Tusk) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ทำงานด้านการพัฒนาและปกป้องสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ทั่วทั้งแอฟริกา
ดังนั้น จึงคาดการณ์กันว่า เจ้าชายแห่งอังกฤษจะทรงหารือกับจีนในประเด็นการค้างาช้างระหว่างการเสด็จเยือนครั้งนี้ โดยหลังจากเสด็จเยี่ยมชมโครงการอนุรักษ์ช้างในจีนที่มีจำนวนลดลง พระองค์มีกำหนดการร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นนี้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในเขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ด้วย
ด้านนายชาร์ลี เมย์ฮิว หัวหน้าฝ่ายบริหารองค์กรทัสค์ ซึ่งร่วมเดินทางเยือนจีนพร้อมกับคณะของเจ้าชายวิลเลียม กล่าวว่า “พระองค์แค่รู้สึกเป็นอย่างมากว่า คนรุ่นเราต้องไม่ปล่อยให้สัตว์หายากเหล่านี้สูญหายไป”
“ผมคิดว่า พระองค์ทรงตระหนักเรื่องนี้มากขึ้นเมื่อมีเจ้าชายจอร์จ (โอรสของเจ้าชายวิลเลียม) ในขณะที่พระองค์สนพระทัยการอนุรักษ์มาหลายปี ผมคิดว่า พระองค์คงฉุกคิดถึงความจริงอันเลวร้ายที่ว่า เมื่อพระโอรสของพระองค์เติบโตจนมีพระชันษา 25 ปี เราอาจอยู่ในโลกที่ทั้งช้างแอฟริกา สิงโต และแรด สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว” นายเมย์ฮิว กล่าว
“ผมเชื่อว่า พระองค์จะกระตุ้นให้จีนแสดงบทบาทนำในการอนุรักษ์และปกป้องการค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย” นายเมย์ฮิว กล่าวทิ้งท้าย