เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์/เอพี - จีนสั่งปลิดชีพเจ้าตูบจรจัดหลายพันตัว พร้อมส่งวัคซีนป้องกันโรคร่วมแสนชิ้น หลังพบชาวบ้านเสียชีวิตเพราะ “โรคพิษสุนัขบ้า”
สำนักข่าวซินหวา รายงาน (7 ส.ค.) ทางการท้องถิ่นได้ออกคำสั่งฉุกเฉิน ให้สังหารสุนัขเร่ร่อน จำนวน 4,900 ตัว ในเมืองเป่าซาน มณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ เนื่องจากพบประชาชน 5 ราย เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า
โดยยังสั่งกระจายวัคซีนป้องกันโรคฯ 100,000 หลอด พร้อมกำกับควบคุมสัตว์พาหะนำโรคอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น เป็นไปตามแผนปราบปรามและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งองค์การอนามัยโรค (WHO) ระบุเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ระบาดสู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสเรบีส์ (Rabies) อันมีฤทธิ์ทำให้สมองและเส้นประสาทไขสันหลังอักเสบรุนแรงจนเสียชีวิตได้
ที่ผ่านมารัฐบาลจีนมักฆ่าตัดตอนหรือห้ามพลเมืองเลี้ยงสุนัข เพื่อจำกัดวงของโรคมรณะนี้ แต่ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรักสัตว์และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์ ที่เรียกร้องวิธีฆ่าเชื้อโรคและฉีดวัคซีนแก่เจ้าตูบมากกว่าประหัตประหารเอาชีวิต
ปี 2552 เจ้าหน้าที่เมืองฮั่นจงของมณฑลส่านซี ฆ่าสุนัขกว่า 37,000 ตัว หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ส่วนชาวบ้านเมืองเว่ยหนันสามารถเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กที่หนักน้อยกว่า 5 กก. ได้ 1 ตัว โดยต้องแสดงใบอนุญาตและหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สุนัขกับทางการ
ด้านนครก่วงโจว (กวางเจา) เมืองเอกของมณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ทางจีนตอนใต้ ประกาศแผนจดทะเบียนสุนัขในปีเดียวกัน โดยสุนัขที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน จะถูกนำตัวไปไว้ที่สถานพักพิงสัตว์เลี้ยงของเมือง
ปลายปี 2553 มหานครเซี่ยงไฮ้เสนอแผนทำลายสุนัขจรจัดหลังพบอัตรากัดทำร้ายผู้คนเพิ่มขึ้น จากปริมาณเฉลี่ย 100,000 ครั้ง เป็น 140,000 ครั้งต่อปี ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนในประชาชนบางกลุ่ม
ทั้งนี้ ในช่วงแรกเริ่มของยุคคอมมิวนิสต์ การเลี้ยงสุนัขนับเป็น “เรื่องต้องห้าม” ทว่าต่อมาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายและกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นของหมู่เศรษฐีร่ำรวยบนจีนแผ่นดินใหญ่