เอเจนซี - จีนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีคนนิยมดูฟุตบอลมากมาย ข้อมูลสมาคมฟุตบอลจีน ระบุว่า มีแฟนบอลที่ติดตามเชียร์สโมสรต่างๆ ในประเทศมากกว่า 10 ล้านคน ไม่นับรวมการติดตามดูสโมสรฟุตบอลนอกประเทศ ล่าสุดการเสียชีวิตของชาวจีน 3 คน เพราะว่านั่งเฝ้าติดตามดูฟุตบอลโลกชนิดไม่หลับไม่นอน ยิ่งสะท้อนให้เห็นความคลั่งไคล้ในกีฬาลูกหนังที่นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าทีมชาติจีนจะล้มเหลวและไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการใหญ่ชนิดคนดูกันครึ่งโลกก็ตาม
ความนิยมในกีฬาฟุตบอลจีนไม่เพียงมีอยู่ในกลุ่มคนทั่วไป แต่ยังพบว่าในอดีตนั้น ผู้นำสูงสุดอย่างประธานเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง กระทั่งสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่ชอบฟุตบอลกันทุกคน โดยประธานเหมาเจ๋อตงนั้น สมัยหนุ่มๆ เคยถึงขนาดร่วมทีมตำแหน่งผู้รักษาประตู ของทีมวิทยาลัยครูประจำบ้านเกิดในมณฑลหูหนาน ส่วนเติ้งเสี่ยวผิงเอง ก็ควักเงินที่เก็บออมซื้อตั๋วเข้าไปชมฟุตบอลโอลิมปิก ในปี 1924 ขณะกำลังศึกษาอยู่ที่กรุงปารีส นอกจากนั้น เติ้งเสี่ยวผิง ยังติดตามเป็นแฟนบอลทีมชาติจีน ชนิดตั้งความหวังว่าจะได้เห็นความสุดยอดของฟุตบอลชาติพันธุ์มังกร
ความอ่อนด้อยในกีฬาฟุตบอล จึงเป็นเรื่องที่พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ด้วยว่าจีนซึ่งประกาศความยิ่งใหญ่ มหาอำนาจด้านกีฬา เป็นทั้งเจ้าภาพและจ้าวเหรียญทองโอลิมปิก พรั่งพร้อมทั้งทรัพยากรบุคคล และเงินทุนปัจจัยมหาศาล แม้ในกีฬาโอลิมปิกที่ทัพกีฬามังกร ต่างหยิบคว้าเหรียญรางวัลติดมือ ห้อยคอแต่ละคนกันมากมาย แต่จีนกลับไม่สามารถสร้างทีมฟุตบอลให้ชนะใครๆ ได้
เมื่อครั้งที่ จีนตกรอบแพ้เบลเยี่ยม 0- 2 ในโอลิมปิก 2008 ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพเองนั้น พิธีกรข่าวของซีซีทีวี ถึงกับล้อว่า ผู้ชมไม่ต้องเสียใจ นี่เป็นการตัดสินใจของทีมจีนเองที่จะตกรอบ เพื่อให้ประชาชนไม่ห่วงพะวง และสามารถชมเชียร์นักกีฬาอื่นๆ ของจีนในโอลิมปิกได้อย่างเต็มที่ ส่วนประธานสมาคมฟุตบอลจีน นายเซี่ยะ ย่าหลง ก็ถูกปลดทันที ตามไล่หลังด้วยการถูกสอบสวนเปิดโปงคดีทุจริตมากมายในวงการฯ
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แม้จีนจะให้กำเนิดกีฬาโบราณที่มีชื่อว่า “ชู่จีว์” (蹴鞠) อันเป็นกีฬาที่ใช้เท้าเตะลูกบอลเพื่อทำแต้ม โดยเล่นกันมาก่อนสมัยที่จีนจะปกครองโดยจักรพรรดิเสียอีก แสดงให้รู้ว่าคนจีนเล่นฟุตบอลกันมานานโขนับพันปี แต่จนถึงวันนี้ จีนเคยไปฟุตบอลโลกครั้งเดียวในปี 2002 ซึ่งครั้งนั้น ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้ จึงเป็นโอกาสอันดีของทีมจากเอเชียที่จะได้สิทธิโควต้าเพิ่ม ทว่าผลงานของจีนในฟุตบอลโลก 3 นัด ไร้แต้ม และประตู แพ้รวด 3 เกม หลายคนโทษว่า ความล้มเหลวของฟุตบอลจีนมาจากหลายสาเหตุ-ปัจจัย บ้างโทษไปตั้งแต่นโยบายลูกคนเดียว การเรียนการสอนในโรงเรียนที่มุ่งแต่ให้เด็กเรียน ไหนจะวิธีการเฟ้นหานักกีฬาซึ่งเล็งแต่คนหุ่นยอดนิยม แขนขายาว อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของกีฬาคว้าเหรียญเป็นกอบเป็นกำให้ทีมชาติจีนอย่าง ว่ายน้ำ ยิมนาสติก กระโดดน้ำโดยไม่ทันคิดเลยว่า นักฟุตบอลเก่งๆ ของโลก อย่างดิเอโก มาราโดน่า ตลอดจนลีโอเนล เมสซี ล้วนแสดงให้เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ข้อจำกัด บ้างก็ว่าเพราะปัจจัยไม่เพียงพอ สนามฟุตบอลน้อย ต้องใช้พื้นที่เยอะ-คนแยะกับกีฬาที่ชิงได้แค่เหรียญเดียว
แต่ที่หนักหนาและดูสมเหตุผลที่สุดคือ พฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชั่น ล้มบอล-การพนันที่ลุกลามไปทั้งวงการฯ เปรียบประมาณว่า ก้มหยิบหญ้าหย่อมใดในสนามฟุตบอลขึ้นมา ก็พบเพลี้ยกัดกินหย่อมนั้นๆ
ภัยทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลจีนนั่งไม่ติด เพราะเป็นความรับผิดชอบโดยตรงเนื่องจากกีฬาฟุตบอลอยู่ภายใต้ระบบกีฬาที่ผูกขาดบริหารโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ดังนั้นความเสื่อมศรัทธาในการบริหารทีมฟุตบอลจีน ย่อมมีผลต่อการเสื่อมศรัทธาในการปกครองประเทศของพรรคฯ เช่นกัน อีกทั้งดูจะเป็นเรื่องย้อนแย้งกับความปรารถนาของผู้นำจีนไล่มาตั้งแต่ เหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง จนถึงสี จิ้นผิง ที่ฝันมาตลอดว่า สักวันจะเห็นฟุตบอลจีนยิ่งใหญ่
สี จิ้นผิงเองนั้น เคยตั้งอธิษฐาน 3 ข้อ มาตั้งแต่ตอนยังไม่ได้เป็นประธานาธิบดีจีนว่า ข้อแรกขอให้จีนได้ไปฟุตบอลโลก ข้อสอง จีนได้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งฟุตบอลโลก และข้อสาม ขอให้จีนเป็นแชมป์โลก ทว่า 3 ข้อนี้ ผู้นำจีนไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นจริงเมื่อไหร่
พีเพิลเดลี่ เคยรายงานว่า เมื่อปี 1952 ครั้งที่จีนแข่งฟุตบอลแพ้ยูโกสลาเวีย ประธานเหมาเดินเข้าไปคุยกับผู้บริหารทีมชาติยูโกฯ ว่า จีนอาจแพ้ท่านในวันนี้ และบางทีอาจจะไม่ชนะในอีก 12 ปีข้างหน้า แต่ปีที่ 13 เราหวังว่าเราจะมีโอกาสชนะในที่สุด
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวนั้นกลับถูกใครๆ นำมาอ้างถึงอีกครั้งเพราะ 13 ปีต่อมา จีนไม่เพียงแต่ไม่สามารถพัฒนาทิมฟุตบอลให้แข็งแกร่งได้ หนำซ้ำทั่วแผ่นดินจีนยังเผชิญวิกฤตปฏิวัติวัฒนธรรม บ้านเมืองระส่ำระส่าย ฟุตบอลจีนเป็นอันไม่ต้องพูดถึง
แม้จนถึงทุกวันนี้ กว่า 62 ปีนับจากความหวังของท่านเหมาฯ ในวันนั้น จีนก็ยังพ่ายแพ้มากกว่าชนะ มีอันดับฟีฟ่าอยู่ที่ 103 ตามหลังอิเควทอเรียลกินี ตอนกลางของทวีปแอฟริกาแต่ที่ดูจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายอันทำให้ชาวจีนหมดศรัทธาในทีมชาติตนเอง คือการพ่ายแพ้ทีมชาติไทยหมดรูป 1 - 5 คาสนามเหอเฝย สปอร์ต เซ็นเตอร์ เมืองเหอเฝย มณฑลอันฮุย ประเทศจีน เมื่อปีที่แล้ว (2556)
ผู้เชี่ยวชาญฯ กล่าวว่า ความตกต่ำของวงการฟุตบอลจีน ไม่ใช่เพราะไม่ได้รับความสนใจจากผู้ชม ด้วยในความเป็นจริง มีแฟนบอลจีนนับสิบล้าน ที่เฝ้าติดตามกีฬาโปรดชนิดนี้อย่างเหนียวแน่น แต่เสื่อมเพราะการทุจริตล้มบอล ที่แผ่ลุกลามไปทั่ววงการฟุตบอลอาชีพระดับสูงสุดของประเทศต่างหาก ทำให้ในที่สุดคนดูเอือมระอา และหันไปดูฟุตบอลต่างประเทศกันหมด ทีวีไม่ถ่ายทอดสดการแข่งขันในประเทศ ยอดจำหน่ายตั๋วชมการแข่งขันฯ ขายไม่ออก บรรดาสปอนเซอร์ไม่อยากสนับสนุนสโมสรต่างๆ
'ที่ใดมีอบายมุข ที่นั่นมีแต่ความเสื่อมฯ' เรื่องนี้เห็นชัดเจนในวงการฟุตบอลจีน และอาจสั่นคลอนความมั่นคงของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่รับผิดชอบผูกขาดในการกีฬามาตลอด ล่าสุด มีผู้เกี่ยวข้องในวงการฯ ต้องโทษข้อหาทุจริตในวงการฟุตบอลจำคุกต่างกรรมต่างวาระกันไปแล้วกว่า 40 คน ไล่ไปตั้งแต่ผู้บริหารสูงสุดอย่าง อดีตรองประธานสมาคมฟุตบอลจีน 2 คน เซี่ยะ ย่าหลง กับหนานหยง รวมถึง อดีตผู้จัดการทีมชาติจีน เหวย เฉ่าหุ้ย อดีตประธานผู้ตัดสิน หลี่ ตงเฉิง นักเตะลีก อีก 4 คนก็โดนจำคุกข้อหารับเงินจากการล้มบอลให้ทีมหนีตกชั้น ตู่ หยุนชี่ อดีตประธานสโมสรชิงเต่า นาย หวังซิ่น ผู้จัดการทีมก่วงหยวนเหลียวหนิง นายหวัง ปั่ว ผู้จัดการทีมส่านซี ไม่เว้นแม้แต่ นายหลู จุน ผู้ตัดสินระดับ "นกหวีดทองคำ" ซึ่งเคยทำหน้าที่ในศึกฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น มาแล้ว โดยเขามีส่วนในการล้มบอลภายในประเทศจำนวน 7 นัด
ดิอีโคโนมิสต์ เคยรายงานเรื่องล้อ-อำกันในสื่อฯ ต่างๆ ว่าหากคนจีนขออธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยสักเรื่อง ระหว่าง ช่วยให้จีนไปฟุตบอลโลก กับ เรื่องลดราคาที่อยู่อาศัยซึ่งนับวันจะแพงเกินเอื้อมของผู้คน กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่จีนวิตกฯ คำอธิษฐานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เลือกรับฟังคือ ช่วยเรื่องราคาบ้านง่ายกว่า!