เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์- หัวหน้าผู้พิพากษาศาลประชาชนชั้นสูงแห่งเหอหนานเดินหน้าโครงการรณรงค์ให้ผู้พิพากษา ตลอดจนเจ้าหน้าที่ศาลทำอาหารกินกันเอง หลีกเลี่ยงการรับสินบนจากผู้มีผลประโยชน์กับคดีความ พร้อมผลักดันให้ การทำอาหาร เป็นเกณฑ์ตัดสินผลงานในปลายปี
ความเป็นกลาง ประสิทธิภาพในการทำงาน และสติปัญญาถือเป็นคุณสมบัติสำหรับผู้พิพากษาที่มีความสามารถ แต่หัวหน้าผู้พิพากษาศาลประชาชนชั้นสูงแห่งเหอหนาน นาย จาง ลี่หย่ง ได้ระบุให้ฝีมือปลายจวักกลายเป็นคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมด้วย
นาย จาง ระบุว่าความสามารถในการรู้จักตระเตรียมอาหาร ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ยังช่วยเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างๆ ที่หลายครั้งผู้มีประโยชน์ร่วมในคดีความต่างๆเป็นผู้เชิญ
“หัวหน้าผู้พิพากษาควรรู้จักการทำอาหารบางเมนูได้ และคุณสมบัตินี้ควรเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลงาน” นายจางกล่าวระหว่างการตรวจการศาลประจำอำเภอต่างๆในเหอหนาน
“หากเจ้าหน้าที่ต้องเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายค่าอาหาร โอกาสที่จะออกไปทานมื้อกลางวันกับผู้เกี่ยวข้องในคดีความก็มีอยู่มาก มันเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของศาล และอาจนำไปสู่การทุจริต” นายจางกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนายจางที่แนะนำให้หัวหน้าผู้พิพากษาฝึกทำอาหารกินเองและทำเผื่อเจ้าหน้าที่ศาลในระหว่างการทำงานที่หนักอึ้งของพวกเขาก็ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์บนฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปแล้ว
“มันเป็นคุณสมบัติประเภทไหนกันนั่น? ผู้ใช้อินเทอร์เนตหลายคนตั้งคำถาม
บล็อกเกอร์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างเสียดสีไว้ว่า “ฉันแนะนำให้ผู้พิพากษาลงเรียนทำอาหารเพื่อให้ได้ประกาศนียบัตรก่อนสมัครเป็นผู้พิพากษา”
ด้านศาลประชาชนชั้นสูงแห่งเหอหนานก็ออกมาอธิบายขยายความ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เวยปั๋ว (คล้ายทวิตเตอร์) ขององค์กร ระบุว่า นายจางเพียงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ประจำศาลมีอาหารมื้อกลางวันกินและการที่หัวหน้าผู้พิพากษารู้จักการทำอาหารกินเอง ก็เป็นเหตุผลในการปฏิเสธคำเชิญกินอาหารหรืองานเลี้ยงต่างๆของฝ่ายที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในคดี
อย่างไรก็ตาม สื่อจีน เหอหนาน ลีเกิล นิวส์ (Henan Legal News) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นายจางออกตรวจงานศาลท้องถิ่น 5 แห่ง โดยศาลประชาชนชั้นสูงระบุในการแถลงข่าวว่า นายจางเข้าตรวจเยี่ยมห้องครัวของศาลแต่ละแห่ง โดยทำการ “ตรวจตราอุปกรณ์สำหรับปรุงอาหาร ตู้เย็น ตู้เก็บอาหาร ฯลฯ "
ศาลท้องถิ่นหลายแห่งตอบรับคำแนะนำของนายจางเป็นอย่างดี เซาท์เทิร์น เมโทโพลิส เดลี ระบุ
ผู้พิพากษาท่านหนึ่งกล่าวกับแหล่งข่าวว่าระบบศาลของเหอหนานริเริ่มโครงการรณรงค์สร้างโรงอาหาร หอพัก สวน ห้องครัว และห้องสันทนาการเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมในการทำงานของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลอื่น ๆ
แหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้พิพากษาเช่นกัน กล่าวยกย่องนโยบายส่งเสริม “บรรยากาศในการรับประทานอาหาร” ในศาลว่าดีกว่าการออกไปรับประทานอาหารเย็นข้างนอกร่วมกับบุคคลที่อาจเสนอสินบนหรือใช้อิทธิพลกับผู้พิพากษา
ด้านศาลประชาชนชั้นกลางเมืองหนานหยางก็ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ประจำศาลท้องถิ่น (ศาลระดับล่างลงไป) “รับประทานอาหารและตรวจสอบว่าผู้พิพากษามีฝีมือในการทำอาหารหรือไม่” อีกทั้งยังเพิ่มทักษะการทำอาหารรวมอยู่ในเกณฑ์การตัดสินประสิทธิภาพ “ผู้พิพากษาดีเด่น” ในตอนปลายปีด้วย
นอกจากนี้ ศาลประจำเขตหนานเจา ซึ่งขึ้นกับศาลเมืองหนานหยาง เมืองเอกของมณฑลเหอหนานยังระบุให้มีการฝึกอบรมผู้พิพากษาในการทำอาหารเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนผู้พิพากษาที่ทำอาหารไม่เป็นจะถูกสั่งย้าย
ขณะที่ศาลอีกหลายแห่งเริ่มเดินเรื่องงบประมาณสำหรับอุปกรณ์ในครัวชุดใหม่แล้ว
ความเป็นกลาง ประสิทธิภาพในการทำงาน และสติปัญญาถือเป็นคุณสมบัติสำหรับผู้พิพากษาที่มีความสามารถ แต่หัวหน้าผู้พิพากษาศาลประชาชนชั้นสูงแห่งเหอหนาน นาย จาง ลี่หย่ง ได้ระบุให้ฝีมือปลายจวักกลายเป็นคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมด้วย
นาย จาง ระบุว่าความสามารถในการรู้จักตระเตรียมอาหาร ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ยังช่วยเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างๆ ที่หลายครั้งผู้มีประโยชน์ร่วมในคดีความต่างๆเป็นผู้เชิญ
“หัวหน้าผู้พิพากษาควรรู้จักการทำอาหารบางเมนูได้ และคุณสมบัตินี้ควรเป็นเกณฑ์ในการประเมินผลงาน” นายจางกล่าวระหว่างการตรวจการศาลประจำอำเภอต่างๆในเหอหนาน
“หากเจ้าหน้าที่ต้องเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายค่าอาหาร โอกาสที่จะออกไปทานมื้อกลางวันกับผู้เกี่ยวข้องในคดีความก็มีอยู่มาก มันเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของศาล และอาจนำไปสู่การทุจริต” นายจางกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนายจางที่แนะนำให้หัวหน้าผู้พิพากษาฝึกทำอาหารกินเองและทำเผื่อเจ้าหน้าที่ศาลในระหว่างการทำงานที่หนักอึ้งของพวกเขาก็ได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์บนฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปแล้ว
“มันเป็นคุณสมบัติประเภทไหนกันนั่น? ผู้ใช้อินเทอร์เนตหลายคนตั้งคำถาม
บล็อกเกอร์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างเสียดสีไว้ว่า “ฉันแนะนำให้ผู้พิพากษาลงเรียนทำอาหารเพื่อให้ได้ประกาศนียบัตรก่อนสมัครเป็นผู้พิพากษา”
ด้านศาลประชาชนชั้นสูงแห่งเหอหนานก็ออกมาอธิบายขยายความ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เวยปั๋ว (คล้ายทวิตเตอร์) ขององค์กร ระบุว่า นายจางเพียงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ประจำศาลมีอาหารมื้อกลางวันกินและการที่หัวหน้าผู้พิพากษารู้จักการทำอาหารกินเอง ก็เป็นเหตุผลในการปฏิเสธคำเชิญกินอาหารหรืองานเลี้ยงต่างๆของฝ่ายที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องในคดี
อย่างไรก็ตาม สื่อจีน เหอหนาน ลีเกิล นิวส์ (Henan Legal News) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา นายจางออกตรวจงานศาลท้องถิ่น 5 แห่ง โดยศาลประชาชนชั้นสูงระบุในการแถลงข่าวว่า นายจางเข้าตรวจเยี่ยมห้องครัวของศาลแต่ละแห่ง โดยทำการ “ตรวจตราอุปกรณ์สำหรับปรุงอาหาร ตู้เย็น ตู้เก็บอาหาร ฯลฯ "
ศาลท้องถิ่นหลายแห่งตอบรับคำแนะนำของนายจางเป็นอย่างดี เซาท์เทิร์น เมโทโพลิส เดลี ระบุ
ผู้พิพากษาท่านหนึ่งกล่าวกับแหล่งข่าวว่าระบบศาลของเหอหนานริเริ่มโครงการรณรงค์สร้างโรงอาหาร หอพัก สวน ห้องครัว และห้องสันทนาการเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมในการทำงานของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลอื่น ๆ
แหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้พิพากษาเช่นกัน กล่าวยกย่องนโยบายส่งเสริม “บรรยากาศในการรับประทานอาหาร” ในศาลว่าดีกว่าการออกไปรับประทานอาหารเย็นข้างนอกร่วมกับบุคคลที่อาจเสนอสินบนหรือใช้อิทธิพลกับผู้พิพากษา
ด้านศาลประชาชนชั้นกลางเมืองหนานหยางก็ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ประจำศาลท้องถิ่น (ศาลระดับล่างลงไป) “รับประทานอาหารและตรวจสอบว่าผู้พิพากษามีฝีมือในการทำอาหารหรือไม่” อีกทั้งยังเพิ่มทักษะการทำอาหารรวมอยู่ในเกณฑ์การตัดสินประสิทธิภาพ “ผู้พิพากษาดีเด่น” ในตอนปลายปีด้วย
นอกจากนี้ ศาลประจำเขตหนานเจา ซึ่งขึ้นกับศาลเมืองหนานหยาง เมืองเอกของมณฑลเหอหนานยังระบุให้มีการฝึกอบรมผู้พิพากษาในการทำอาหารเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนผู้พิพากษาที่ทำอาหารไม่เป็นจะถูกสั่งย้าย
ขณะที่ศาลอีกหลายแห่งเริ่มเดินเรื่องงบประมาณสำหรับอุปกรณ์ในครัวชุดใหม่แล้ว