ไชน่าเดลี – จีนเตรียมสร้างระบบหักบัญชีเงินหยวนในประเทศไทยเพื่อรองรับปริมาณธุรกรรมการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองชาติ นักวิชาการชี้เปิดศักราชใหม่รุกอาเซียนด้วยนโยบายต่างประเทศด้านการเงิน ตั้งเป้าบรรลุยอดการค้าทวิภาค 1 แสนล้านดอลล์ในปี 58 เตรียมเลิกวีซ่าท่องเที่ยวไทย-จีน ชี้จีนเที่ยวไทยปีนี้แตะ 5 ล้านคน
วานนี้ (11 ต.ค.) นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนที่กำลังอยู่ระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. เปิดเผยว่า จีนกำลังพิจารณาการสร้างระบบการหักบัญชีเงินหยวน (Yuan Clearing Bank) ในประเทศไทยเพื่อให้เท่าทันกับปริมาณธุรกรรมเงินหยวนที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปเพื่อกระตุ้นการค้าเงินหยวนระหว่างประเทศไทยและจีน นายกฯ จีนระบุในสุนทรพจน์ที่กล่าวระหว่างการเยือนรัฐสภาของไทย
ระบบดังกล่าวจะช่วยให้ปริมาณการค้าแบบทวิภาคีระหว่างไทยและจีนบรรลุเป้า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี ภายในปี 2558 (ค.ศ.2015) โดยเป้าหมายดังกล่าวถูกระบุโดยหลี่ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยระหว่างการแถลงข่าวหลังการพบปะอย่างเป็นทางการ
นายหยาง เป่าหยุน ศาสตราจารย์ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งระบุว่า ธนาคารเพื่อการหักบัญชีที่จะตั้งขึ้นใหม่ และข้อตกลงในการการสวอปเงินตราต่างประเทศจะทำให้นักธุรกิจ และเจ้าของกิจการเป็นอิสระจากปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และจะทำให้การค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศเติบโตขึ้นมากจากตัวเลข 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว
ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย ขณะที่ไทยก็เป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของจีนในหมู่สมาชิก 10 ชาติของเอาเซียน โดย ศ.หยางระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องรีบหามาตรการเพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้อย่างรวดเร็ว
การตั้งระบบการบัญชีเงินหยวนในไทยถือเป็นมาตรการหนึ่งในการเพิ่มการหมุนเวียนของเงินตราจีนในหมู่ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมูลค่าความตกลงว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตราแบบทวิภาคีระหว่างจีนกับชาติอาเซียนนั้นสูงถึง 1.4 ล้านล้านหยวน (ราว 228,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ขณะที่มูลค่าการค้าชายแดนเป็นเงินหยวนก็เพิ่มสูงถึง 1.12 ล้านล้านหยวนเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ โดยตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยมาจากนายอี้ กัง รองผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งประเทศจีน และผู้อำนวยการของสํานักงานบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (State Administration of Foreign Exchange : SAFE)
นายจิน ช่านหรง ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยประชาชนจีนให้ความเห็นว่า การเปิดเผยเรื่องดังกล่าวของผู้นำจีน ถือเป็นนโยบายต่างประเทศด้านการเงินของประเทศ ซึ่งเป็นไฮไลท์หนึ่งของนโยบายต่างประเทศของจีนล่าสุด
ทั้งนี้ความก้าวหน้าด้านการเงินดังกล่าวจะช่วยให้การพัฒนาของจีนส่งแรงผลักดันต่อไปยังเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านและจะช่วยกระตุ้นการเชื่อมโยง และสร้างการบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ศ.จินกล่าว
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา การแถลงข่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายหลี่ ยังระบุถึงการที่จีนและไทยได้บรรลุข้อตกลงที่นำไปสู่การลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ในการยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวระหว่างไทยและจีนอีกด้วย โดยผู้นำจีนระบุว่า การยกเลิกวีซ่าดังกล่าวจะอำนวยความสะดวกในการติดต่อระหว่างบุคคล และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่าสองประเทศ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีต่อประชาชน
“มีคำกล่าวโบราณของจีนระบุว่า ยิ่งมีการแลกเปลี่ยนระหว่างญาติพี่น้อง ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ยิ่งแน่นแฟ้น” หลี่กล่าว โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ริเริ่มการพูดคุยในลักษณะดังกล่าวกับจีน
ศ.หยางแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เสริมว่านักท่องเที่ยวจีนได้กลายเป็นนักท่องเที่ยวที่จับจ่ายหนักมือในเมืองไทย และการยกเลิกวีซ่าดังกล่าวก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการเจรจาในลักษณะเดียวกันกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ของอาเซียน
ขณะที่นายกฯ จีนคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยในปีนี้น่าจะแตะ 5 ล้านคน โดยมีการกล่าวถึงภาพยนตร์จีนเรื่องแก๊งม่วน ป่วนไทยแลนด์ (Lost in Thailand) ด้วยว่าภาพยนตร์ตลกเบาสมองเรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวจีน และถือเป็นการกระตุ้นความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติได้อย่างดี
นอกจากนี้ เทคโนโลยีรถไฟหัวกระสุน ธุรกิจพลังงาน และโครงการพลังงานทางเลือกก็ยังเป็นสิ่งที่นายหลี่ เค่อเฉียงหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในสุนทรพจน์ระหว่างการเยือนประเทศไทย พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่าจีนจะกระตุ้นให้บริษัทเอกชนของจีนนำเข้าข้าวจากไทยให้ได้ 1 ล้านตันในช่วง 5 ปีข้างหน้า รวมถึงสั่งซื้อสินค้าเกษตรอย่างยางพาราและมันสำปะหลังจากไทยเพิ่มขึ้นด้วย