เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - สืบเนื่องจากเหตุระเบิดรุนแรง บริเวณด้านหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลปาหลี่เจีย เขตหลิงชวน เมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองก่วงซีจ้วงของจีน เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ (9 ก.ย.) ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 44 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่และเด็กนักเรียน โดยมีเด็ก 11 คนที่อยู่ในภาวะบาดเจ็บสาหัส
ล่าสุด สื่อท้องถิ่นแห่งหนึ่งของกุ้ยหลิน เผยว่า มือระเบิดครั้งนี้ เป็น “คุณพ่อ” ผู้แค้นเคืองโรงเรียนอนุบาลฯ ที่ไม่ยอมรับลูกของตนเข้าเรียน
รายงานข่าว (11 ก.ย.) กล่าวว่า คุณพ่อเลือดร้อนรายนี้ อายุราว 30-40 ปี เป็นแรงงานอพยพที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานอยู่ในกุ้ยหลิน และต้องการให้บุตรของตนเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลปาหลี่เจียแห่งนี้ ทว่า ทางโรงเรียนได้ปฏิเสธรับเข้าศึกษา โดยให้เหตุผลว่ามีคุณสมบัติไม่ครบตามข้อกำหนด
ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งปฏิเสธจะเผยนาม ได้กล่าวสั้นๆ กับนักข่าวว่า “สิทธิ์ที่นั่งเรียนนั้นมีจำกัด อีกทั้งลูกของแรงงานอพยพต่างถิ่นคนอื่นๆ ก็ยังค้างอยู่ในรายชื่อรอเรียกเข้าศึกษาด้วย”
อนึ่ง เหตุระเบิดมรณะครั้งนี้ เกิดขึ้นเวลาประมาณ 7.10 น.ของเช้าวันจันทร์ โดยพบรถจักรยานยนต์สามล้อคันหนึ่ง ที่มีไฟลุกท่วมแล่นเข้ามา ก่อนจะเกิดการระเบิดขึ้นใกล้ๆ กับประตูทางเข้าโรงเรียนฯ
“การระเบิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และใกล้กับประตูโรงเรียน ซึ่งช่วงดังกล่าวเป็นเวลาที่เหล่าผู้ปกครองต่างพาบุตรหลานของตนมาเข้าชั้นเรียน หรือไม่ก็กำลังสัญจรผ่านไปมา เป็นสาเหตุว่าทำไมจึงมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก” สื่อท้องถิ่นฯ ระบุ
นอกจากนี้ เป่ยจิง นิวส์ รายงานเพิ่มเติมว่า แรงระเบิดยังทำให้ทรัพย์สินของประชาชนในบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และกระจกของร้านค้า ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ การขาดแคลนโอกาสทางการศึกษาในเมืองใหญ่ ถือเป็นปัญหาเรื้อรัง และกลายเป็นแหล่งเพาะบ่มเมล็ดพันธุ์แห่งความขุ่นเคืองของเหล่าพ่อแม่ผู้ปกครองแดนมังกร โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอพยพต่างถิ่น
ดังเช่นเหตุกาณ์เมื่อเดือน มิ.ย. ที่มีชาวจีนรายหนึ่งจุดไฟเผารถโดยสารสาธารณะที่กำลังแล่นอยู่บนสะพานของเมืองซย่าเหมิน มณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกของจีน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 47 ราย และบาดเจ็บสาหัสอีกว่า 34 คน
โดยผู้ก่อเหตุสยองคนดังกล่าว ซึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เคยโพสต์ข้อความผ่านโลกออนไลน์จีน กล่าวตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานผิดพลาด ทำให้เขาไม่สามารถรับประโยชน์จากประกันสังคมตามสิทธิ์ที่กำหนดได้ และเขายังอ้างอีกว่า “เจ้าหน้าที่ไม่ได้กระตือรือร้นจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย”