เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของจีนดับความหวังธนาคารปล่อยกู้ง่าย ๆ โดยปฏิเสธผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัว และส่งเสริมสภาพคล่อง ซึ่งกำลังทำให้เศรษฐกิจแดนมังกรชะลอการเติบโต อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ผลจากการระงับการอัดฉีดสภาพคล่องใหม่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ซึ่งแตกต่างจากนโยบายของรัฐบาลชุดก่อน ทำให้ภาคการผลิตของจีนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวเชื่องช้าที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสูงสุดของจีนส่งสัญญาณเห็นด้วยการดำเนินนโยบายนี้ โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิงกล่าวในการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อสุดสัปดาห์ว่า เจ้าหน้าที่ไม่ควรตัดสินใจ โดยพิจารณาจากตัวเลขจีดีพีเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงการครองชีพของประชาชน ความเจริญก้าวหน้าของสังคม และประเด็นสิ่งแวดล้อมประกอบกันด้วย
การให้ข้อคิดของประธานาธิบดีสีเป็นสิ่งยืนยันว่า รัฐบาลชุดใหม่ของจีนต้องการชะลอการขยายตัวของสินเชื่อ แต่หันมามุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศแทน
ด้านนายแพทริก โชวาเน็ก หัวหน้านักกลยุทธ์ของซิลเวอร์เครสต์ แอสเซ็ต เมเนจเมนต์ ( Silvercrest Asset Management) และเคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยชิงหวามองว่า การคุมเข้มการขยายสินเชื่ออาจช่วยฉุดรั้งการผลิตสินค้าที่ล้นเกิน และหนี้เสียได้ แต่ “มันจะทำให้เศรษฐกิจโตช้าลงในระยะสั้นเป็นอย่างน้อย ”
ทั้งนี้ ปริมาณเงินบนแผ่นดินใหญ่กำลังขยายมากขึ้นราว 2 เท่าของอัตราการเติบโตของจีดีพี และรัฐบาลจีนวางแผนการขาดดุลด้านการเงินในปีนี้มากกว่าปีที่แล้ว นอกจากนั้น เศรษฐกิจแดนมังกรในปีที่แล้วได้ชะลอการเติบโตมากที่สุดในรอบ 13 ปี เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายพยายามดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการสร้างงานไปอย่างสมดุลกัน
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า มีความเสี่ยง ที่จีดีพีของจีนในปีนี้จะโตไม่ถึงเป้าร้อยละ 7.5 ซึ่งอาจไม่ถือเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับเศรษฐกิจแดนมังกร
ขณะที่รัฐบาลปักกิ่งเองก็ดูจะปรับตัวได้สบายขึ้นกับการเติบโต ที่เชื่องช้านี้ โดยเห็นได้จากการแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปีระหว่างปี 2554- 2558 ของจีน ซึ่งคาดการเติบโตของจีดีพีเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 7 เท่านั้น จากร้อยละ 10 ในช่วง 30 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อต่อสู้กับวิกฤตการเงินของอดีตนายกรัฐมนตรีเวิน จยาเป่า ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนัก ทำให้เกิดสภาพคล่องล้นทะลัก และก่อให้เกิดหนี้ค้างชำระของคณะผู้บริหารส่วนมณฑลและท้องถิ่น 18 แห่งรวมกันถึง 3.85 ล้านล้านหยวนเมื่อสิ้นปีที่แล้ว เพิ่มถึงร้อยละ 13 จากเมื่อ 2 ปีก่อน โดยหนี้ค้างชำระทั้งหมดนั้น เกือบครึ่งหนึ่งเป็นหนี้ใหม่ ที่ก่อขึ้นภายหลังจากปี 2554 ไปแล้ว จากการตรวจสอบของสำนักงานตรวจสอบบัญชีแห่งชาติ ซึ่งเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อน
บาร์เคลย์สแคปปิตอล ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจสัญชาติอังกฤษเรียกขานกรอบนโยบายของนายกรัฐมนตรีหลี่ว่า “หลี่-โคโนมิกส์” อันเป็นนโยบายที่รัฐบาลปักกิ่งได้ส่งสัญญาณแล้วว่า จะอดทนต่อความเจ็บปวดในระยะสั้น เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกว่าของเศรษฐกิจประเทศ