ASTVผู้จัดการ – รมช.กระทรวงวิเทศสัมพันธ์เชื่อ “โอบามา” ไม่เปลี่ยนนโยบายปิดล้อมจีน ร้องความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ “จีน-สหรัฐฯ” ที่เอื้อต่อการพัฒนาศก.สองฝ่ายและโลก ย้ำจีนจะไม่เปลี่ยนนโยบายต่างประเทศแม้จะมีการเปลี่ยนผู้นำ
ช่วงเช้าวันนี้ (7 พ.ย.) ก่อนการประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 หรือ สมัชชาฯ 18 ซึ่งจะเป็นการถ่ายโอนอำนาจของผู้นำจีนครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 10 ปี จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ (8 พ.ย.) กระทรวงการต่างประเทศจีนได้นำคณะสื่อมวลชนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้รวม 19 คน จาก 17 ประเทศ เข้าพบกับนายอ้าย ผิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิเทศสัมพันธ์แห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อสอบถามถึงความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองภายในและต่างประเทศของจีน
นายอ้าย ผิงกล่าวว่า เดิมทีก่อนปี 2521 (ค.ศ.1978) กระทรวงวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นเน้นบทบาทในการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศในรูปแบบพรรคต่อพรรค โดยเฉพาะระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ ทว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีการปรับทบบาทเพื่อสานสัมพันธ์กับพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์อื่นๆ ด้วย ทั้งพรรคครัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน แต่อยู่บนเงื่อนไขว่าต้องเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมาย และไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างจีนกับประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ยังเริ่มมีการปรับบทบาทเพื่อติดต่อกับองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) และหน่วยงานด้านการทูตสาธารณะ (Public Diplomacy) อีกด้วย
เมื่อถามถึงแนวนโยบายการต่างประเทศของจีนหลังจาการประชุมสมัชชาฯ 18 ว่าผู้นำชุดใหม่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ รมช.การกระทรวงวิเทศสัมพันธ์จีนระบุว่าในมุมมองทั่วไป และนโยบายต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โตนัก
เมื่อผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการสอบถามถึงทัศนะของนายอ้าย ผิง ต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนโยบายของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ประกาศชัดว่าจะดำเนินนโยบายกลับสู่เอเชีย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ซึ่งอีกนัยหนึ่งหมายถึง “การปิดล้อมจีน (China Containment)”
นายอ้ายกล่าวว่า หากได้รับเลือกอีกครั้งประธานาธิบดีโอบามาคงไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายอะไรกับจีน แต่ตัวเขาเห็นว่า ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จำเป็นต้องมีสูตรหรือประเภทความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างกัน โดยเป็นแบบระหว่างประเทศมหาอำนาจกับประเทศมหาอำนาจที่ไม่เพียงเอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ แต่รวมถึงเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ด้วย
“ผมหวังว่านโยบายการปิดล้อมจีนเพิ่มขึ้น (More Containment) จะถูกเปลี่ยนไปเป็นผูกพันกันมากขึ้น (More Engagement)” นายอ้ายกล่าวด้วยภาษานักการทูต
ในส่วนของการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่ย่ำแย่ลงเนื่องจากกรณีข้อพิพาทเกาะเตี้ยวอี๋ว์หรือเกาะเซนซากุ เขากล่าวว่า ปัญหานี้เนื่องจากนักการเมืองญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าเป็น “ข้อพิพาท” โดยอ้างว่าเกาะดังกล่าวเป็นของญี่ปุ่นมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้การแก้ปัญหาเกิดความคาราคาซัง ซึ่งโดยทัศนะของเขาเห็นว่า ชนชั้นปกครองในญี่ปุ่นยังคงมีทัศนะต่อประเทศเพื่อนบ้านแตกต่างจากประชาชนชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการยึดครองดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านทั้งจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยอ้างว่าเป็นการปลดปล่อยจากลัทธิอาณานิคมของตะวันตก
อนึ่ง จากรายงานตัวเลขยอดขายรถยนต์เดือนตุลาคม 2555 พบว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในประเทศจีนต่างประสบกับปัญหาลดลงของยอดขายด้วยกันทั้งสิ้นจากผลกระทบของข้อพิพาทเรื่องเกาะเตี้ยวอี๋ว์/เซนซากุ โดยยอดขายรถยนต์ฮอนด้าในจีนลดลงร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว, มาสด้าลดลงร้อยละ 45, โตโยต้าลดลงร้อยละ 44 ส่วนนิสสันลดลงร้อยละ 41 โดยผู้บริหารของโตโยต้าบริษัทรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกคาดว่ากว่าที่ธุรกิจในจีนของบริษัทจะกลับมาเป็นปกติอย่างเร็วที่สุดก็คงล่วงเข้าไปในไตรมาสที่ 3 ของปี 2556