เอเจนซี--“ที่นี่ยังเป็นบ้านของฉันอีกมั๊ย? ทำไมเรียกกันว่า ท่าเรือหมิงเย่ว์ หล่ะ” หญิง แซ่อู๋ ไปทำงานอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 5 ปี เมื่อเจ็บป่วยเดินทางกลับมาบ้านที่เมืองหนานจิง กลับหาบ้านตัวเองไม่พบ เธอคิดอะไรไม่ออก จึงโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากอดีตสามีที่แยกทางกันไปเมื่อ 11 ปีก่อน ทั้งนี้ เว็บไซต์ข่าวจงกั๋วเจียงซูรายงานวันที่ 21 เม.ย.
“บ้านของเธอหลังนั้นถูกรื้อถอนนานไปแล้ว จะหาเจอได้อย่างไร?” อดีตสามีกล่าวกับหญิงแซ่อู๋ ขณะที่พาเธอไปที่บ้านของเขา ว่าบ้านเก่าของเธอถูกรื้อถอนไปนานแล้วและปัจจุบันกลายเป็นอาคารพาณิชย์หมดแล้ว จากนั้นหญิงแซ่อู๋จึงถามด้วยความร้อนใจว่า “แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน?” ทว่าอดีตสามีของเธอกล่าวอย่างหมดปัญญาว่า “เธอถามฉันแล้วฉันจะไปถามใคร?”
เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่ อดีตสามีได้พาหญิงแซ่อู๋ไปพบ ติง รื่อโจว ผู้อำนวยการแผนกยุติธรรมเขตจงยังเหมิน โดยหญิงแซ่อู๋ เล่าให้ ผู้อำนวยการ ติง ฟังว่า เธอและครอบครัวเดิมอาศัยอยู่ที่เขตเจียงหนิงซึ่งเป็นชื่อของท่าเรือหมิงเย่ว์ ในเวลานั้นที่นั่นยังเป็นชนบท ปี 2544 เธอได้แต่งงานกับชายแซ่หลิวและได้ย้ายไปอยู่บ้านสามีสามีที่จงยังเหมิน เขตกู่โหลว จากนั้นในปี 2546 เธอและสามีได้หย่าขาดจากกัน
หลังจากหย่ากันแล้ว หญิงแซ่อู๋เดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย 5 ปี โดยไม่ได้กลับบ้านเกิดเลย ในปี 2551 เธอได้พบว่าตนเป็นมะเร็งเต้านม เพื่อสะดวกในการรักษาตัวเธอตกลงปลงใจที่จะกลับจีน โดยหลังจากกลับถึงจีนแล้ว เดิมทีเธอตั้งใจจะกลับบ้านเดิมที่เจียงหนิง แต่กลับพบว่าบ้านของเธอที่แต่ก่อนรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนแบบเก่าหลังเล็กๆ กลับอันตราธานหายไปสิ้น กลายเป็นย่านการค้าตึกอาคารทันสมัยไปหมดแล้ว
หญิง แซ่อู๋วอนขอความช่วยเหลือกับผู้อำนวยการติง รื่อโจวทั้งน้ำตาว่า “ปัจจุบันฉันได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง ฉันเพียงอยากหาบ้านที่ซุกหัวนอนเพื่อรักษาตัว” เธอยังบอกกับผู้อำนวยการติงด้วยว่า เธอไปทำงานต่างประเทศ 5 ปี ลำพังเงินเก็บจะเอามารักษาตัวด้วยการทำเคมีบำบัด(คีโม) ก็ไม่พอแล้ว ไม่มีทางซื้อบ้านที่หนานจิงได้ จึงหวังว่ารัฐบาลจะช่วยหาที่อยู่ให้เธอ
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกล่าวว่า หลังจากที่หญิงแซ่อู๋แต่งงานแล้วได้ย้ายสำมะโนครัวออกจากเจียงหนิง ดังนั้นชื่อของเธอจึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่จะได้รับการชดเชยสำหรับบ้านที่ถูกรื้อถอน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแผนกยุติธรรมจงยังเหมิน หญิงแซ่อู๋ ได้ช่วยแก้ไขปัญหา จนเธอได้สิทธิยื่ขอประกันสังคม ขอบ้านเอื้ออาทรบริเวณสะพานซีซั่น.
“บ้านของเธอหลังนั้นถูกรื้อถอนนานไปแล้ว จะหาเจอได้อย่างไร?” อดีตสามีกล่าวกับหญิงแซ่อู๋ ขณะที่พาเธอไปที่บ้านของเขา ว่าบ้านเก่าของเธอถูกรื้อถอนไปนานแล้วและปัจจุบันกลายเป็นอาคารพาณิชย์หมดแล้ว จากนั้นหญิงแซ่อู๋จึงถามด้วยความร้อนใจว่า “แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน?” ทว่าอดีตสามีของเธอกล่าวอย่างหมดปัญญาว่า “เธอถามฉันแล้วฉันจะไปถามใคร?”
เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่ อดีตสามีได้พาหญิงแซ่อู๋ไปพบ ติง รื่อโจว ผู้อำนวยการแผนกยุติธรรมเขตจงยังเหมิน โดยหญิงแซ่อู๋ เล่าให้ ผู้อำนวยการ ติง ฟังว่า เธอและครอบครัวเดิมอาศัยอยู่ที่เขตเจียงหนิงซึ่งเป็นชื่อของท่าเรือหมิงเย่ว์ ในเวลานั้นที่นั่นยังเป็นชนบท ปี 2544 เธอได้แต่งงานกับชายแซ่หลิวและได้ย้ายไปอยู่บ้านสามีสามีที่จงยังเหมิน เขตกู่โหลว จากนั้นในปี 2546 เธอและสามีได้หย่าขาดจากกัน
หลังจากหย่ากันแล้ว หญิงแซ่อู๋เดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย 5 ปี โดยไม่ได้กลับบ้านเกิดเลย ในปี 2551 เธอได้พบว่าตนเป็นมะเร็งเต้านม เพื่อสะดวกในการรักษาตัวเธอตกลงปลงใจที่จะกลับจีน โดยหลังจากกลับถึงจีนแล้ว เดิมทีเธอตั้งใจจะกลับบ้านเดิมที่เจียงหนิง แต่กลับพบว่าบ้านของเธอที่แต่ก่อนรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนแบบเก่าหลังเล็กๆ กลับอันตราธานหายไปสิ้น กลายเป็นย่านการค้าตึกอาคารทันสมัยไปหมดแล้ว
หญิง แซ่อู๋วอนขอความช่วยเหลือกับผู้อำนวยการติง รื่อโจวทั้งน้ำตาว่า “ปัจจุบันฉันได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง ฉันเพียงอยากหาบ้านที่ซุกหัวนอนเพื่อรักษาตัว” เธอยังบอกกับผู้อำนวยการติงด้วยว่า เธอไปทำงานต่างประเทศ 5 ปี ลำพังเงินเก็บจะเอามารักษาตัวด้วยการทำเคมีบำบัด(คีโม) ก็ไม่พอแล้ว ไม่มีทางซื้อบ้านที่หนานจิงได้ จึงหวังว่ารัฐบาลจะช่วยหาที่อยู่ให้เธอ
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกล่าวว่า หลังจากที่หญิงแซ่อู๋แต่งงานแล้วได้ย้ายสำมะโนครัวออกจากเจียงหนิง ดังนั้นชื่อของเธอจึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่จะได้รับการชดเชยสำหรับบ้านที่ถูกรื้อถอน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแผนกยุติธรรมจงยังเหมิน หญิงแซ่อู๋ ได้ช่วยแก้ไขปัญหา จนเธอได้สิทธิยื่ขอประกันสังคม ขอบ้านเอื้ออาทรบริเวณสะพานซีซั่น.