เอเยนซี - จีนเผยวันนี้ (14 ต.ค.) ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือปรอทชี้วัดเงินเฟ้อของจีน อยู่ที่ 6.1 เปอร์เซ็นต์ในเดือนก.ย.นับจากปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าขยายตัวช้าลงบ้างแล้วจากเดือนส.ค.ก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 6.2 เปอร์เซ็นต์
แม้ว่ารัฐบาลจีนจะพยายามควบคุมราคาอาหารและเคหสถานที่แพงลิบก็ตาม แต่เงินเฟ้อที่พุ่งสูงแบบหัวชนฝาก็ยังลอยตัวต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งเองก็หวั่นว่า หากเป็นเช่นนี้อาจจุดชนวนความไม่สงบในสังคมได้
เงินเฟ้อจีนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ค. แตะระดับ 6.5 เปอร์เซ็นต์
จีนได้งัดนโยบายระดมสารพัดมาตรการในช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อคุมราคาอาหารมิให้แพงเกินไป รวมทั้งสั่งเข้มงวดการปล่อยกู้ของธนาคารโดยให้ธนาคารคงเงินสดสำรองไว้เพิ่ม กอปรกับขึ้นดอกเบี้ยอีก 5 ครั้งนับแต่เดือนต.ค.ปี 2553 เป็นต้นมา
นักวิเคราะห์ชี้ว่า แม้ว่าเงินเฟ้อในเดือนนี้จะค่อย ๆ ปรับลดลงบ้างแล้ว แต่รัฐบาลก็ดูไม่มีท่าทีจะผ่อนคลายนโยบายการปล่อยกู้แต่อย่างใด
อลิสแตร์ ธอร์ตัน นักวิเคราะห์ด้านจีนของโกลบอล อิโคโนมิกส์ เผยในรายงานว่า “การคุมเข้มนโยบายการเงินและปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้พอเหมาะนั้น ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป แม้ว่าขณะนี้เงินเฟ้อจีนลดลงบ้างแล้วก็ตาม”
เขาเสริมว่า “ในขณะนี้ นโยบายของรัฐบาลจีนยังคงนิ่งสม่ำเสมอ ไม่มีการคุมเข้มเพิ่ม หรือไม่ปรับให้หย่อนยานลง”
สำนักสถิติแห่งชาติจีนเผยในแถลงการณ์ว่า ราคาอาหารที่เป็นต้นเหตุของเงินเฟ้อในเดือนก.ย.นั้นเพิ่มขึ้น 13.4 เปอร์เซ็นต์ปีต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับในเดือนส.ค.
นายกรัฐมนตรีเวิน จยาเป่าของจีน เปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า เขาไม่สามารจะผ่อนคลายมาตรการลงได้ ตราบใดที่ราคาอาหารในจีนยังคงเพิ่มขึ้น พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะต้องขยับมาตรการคุมเงินเฟ้อกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้ผลิต เครื่องชี้วัดเงินเฟ้อ ณ จุดขายส่งทั้งหมด เพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์ ปีต่อปีในเดือนก.ย. ซึ่งถือว่าลดลงมาอย่างต่อเนื่องจากเดือนส.ค.ที่ 7.3 เปอร์เซ็นต์ สำนักสถิติเผยฯ
รัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายให้ทั้งปี 2554 เงินเฟ้ออยู่ในระดับ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่จีนก็ยอมรับว่า เป็นการยากที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
