xs
xsm
sm
md
lg

ธุรกิจสถานรับเลี้ยงคนชราแดนมังกรบูม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเยนซี่ - ผลวิจัยล่าสุดระบุ ธุรกิจสถานรับเลี้ยงคนชรากำลังแพร่หลายบนแดนมังกร ขณะที่จำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ชาวจีนหันไปพึ่งสถานรับเลี้ยงคนชรา แทนการดูแลโดยคนในครอบครัวตามขนบธรรมเนียม ที่ชาวจีนเคยยึดถือปฏิบัติกันมา

ผลการวิจัยของผู้ช่วยศาสตราจารย์จ้านเหลียน เฟิง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผู้สูงอายุ และคณะจากมหาวิทยาลัยบราวน์ , รัฐจอร์เจีย ร่วมกับมหาวิทยาลัยนานกิง ซึ่งลงเผยแพร่ออนไลน์ในวารสารของสมาคมโรคคนชราแห่งอเมริกา( the Journal of the American Geriatrics Society) เป็นงานวิจัยอย่างเป็นระบบครั้งแรกเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการเติบโตของธุรกิจบ้านพักคนชราในเมืองต่าง ๆ ของจีน

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ประชากรอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีในจีนจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 22.6 หรือ 329 ล้านคนในปี 2584

ผลการวิจัยพบว่า เมื่อปี 2523 บ้านพักคนชราในเมืองนานกิงมีจำนวนเพียง 3 แห่ง แต่ในปี 2552 มีจำนวนขึ้นกว่า 140 แห่ง ส่วนเมืองเทียนจิน ปัจจุบันมีบ้านพักคนชรา 136 แห่ง ซึ่งมีเพียง 11 แห่ง ที่ก่อตั้งมาก่อนปี 2533 ขณะที่บ้านพักคนชราในกรุงปักกิ่งจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งเปิดให้บริการภายหลังจากปี 2543

“การดูแลคนชราในลักษณะเป็นสถาบันมีอยู่น้อยมากในจีนเมื่อสมัยก่อน” นายเฟิงระบุ

“ แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีน้อย แต่เราก็เห็นการเติบโตอย่างเปรี้ยงปร้าง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์เลยทีเดียวสำหรับประเทศ ซึ่งเมื่อหลายพันปีก่อน ที่คนในครอบครัวจะดูแลผู้สูงอายุ”

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่า รัฐบาลจีนแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขยายตัวของธุรกิจประเภทนี้เลย โดยให้เงินอุดหนุนในการก่อสร้างอย่างจำกัด

ทั้งนี้ สถานรับเลี้ยงคนชราจำนวน 1,208 แห่งใน 7 เมืองทั่วประเทศส่วนใหญ่เป็นของเอกชน ขณะที่สถานรับเลี้ยงคนชราจำนวนกว่า 3 ใน 4 ในเมืองนานกิง ซึ่งก่อสร้างในช่วงสิบปีที่แล้วนั้น เป็นของเอกชน

ผลการวิจัยยังระบุด้วยว่า ผู้ป่วยในสถานรับเลี้ยงคนชราของเอกชนนั้น มีแนวโน้มป่วยมากกว่าพวกที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงคนชราของรัฐ

นายเฟิงระบุว่า ในสหรัฐฯเมื่อหลายสิบปีก่อน สถานรับเลี้ยงคนชราไม่อยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับเสียส่วนใหญ่ ต่อมาเมื่อเกิดเรื่อง ที่ทำให้สังคมตกใจ เช่นการทำร้ายทารุณผู้ชรา การปล่อยปละละเลย ฯลฯ จึงได้มีการออกกฎหมายปฏิรูปครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้สภาพการณ์ดีขึ้น นายเฟิงชี้ว่า รัฐบาลจีนควรดูความหละหลวมด้านกฎระเบียบในสหรัฐฯ ดังกล่าวเป็นตัวอย่าง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

อย่างไรก็ตาม จากผลวิจัยพบว่า ในเมืองนานจิงเมื่อปี 2552 มีบ้านพักคนชราเพียงร้อยละ 31 เท่านั้น ที่จ้างแพทย์ไว้คนหนึ่ง และมีเพียงร้อยละ 29 เท่านั้น ที่จ้างพยาบาลมาคอยดูแลหนึ่งคน นอกจากนั้น ในจำนวนบ้านพักคนชรา 10 แห่ง มีเพียง 4 แห่งเท่านั้น ที่ผู้บริหารสูงสุดได้รับการศึกษาระดับวิทยาลัย และทีมงานกว่าครึ่งหนึ่งในบ้านพักคนชราในเมืองนานกิงเป็นแรงงานอพยพจากชนบท ซึ่งไม่ได้รับการอบรมฝึกหัด

การวางแผนอย่างรอบคอบของรัฐบาลเกี่ยวกับสถานรับเลี้ยงคนชราในประเทศเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน นายเฟิงระบุในตอนท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น