เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ - หลี่ อิ๋งเฉวียน ผู้รอดชีวิตจากเหตุโศกนาฎกรรมชิงตัวประกันที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปีที่ผ่านมา วานนี้ (16 ก.พ.) ได้ให้ปากคำเกี่ยวกับเรื่องการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมชาติ ชาวฮ่องกง 8 คน อย่างละเอียดถี่ถ้วน
จากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมคนร้ายจับนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงเป็นตัวประกันที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันจันทร์ (23 ส.ค. 2553) จนในที่สุดทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความไม่พอใจต่อความไร้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์ ในหมู่ชาวจีนทั้งฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่ และได้กลายมาเป็นปัญหาทางการเมืองลุกลามกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ในการไต่สวนพยานวันที่ 3 ของศาลสูงฮ่องกง หลี่ อิ๋งเฉวียน วัย 36 ปี บอกเล่าเรื่องราวการฆ่าตัวประกันฯ ว่า เธอได้ยินเสียงปืนดังต่อเนื่อง เหมือนว่าขณะนั้น มือปืนจะเดินไปมาตรงช่องทางเดินในรถบัส
“ฉันได้ยินเสียงปืน ปัง ปัง ปัง...” เธอเพิ่มเติมว่า มือปืนค่อยๆ เดินไปยิงไปทีละนัด ไม่ได้รัวกระสุนหมายเอาชีวิต"
ในการสอบสวนของศาลสูง หลี่ ได้เล่าเรื่องราวโศกนาฎกรรมวันที่ 23 ส.ค. 2553 อย่างละเอียด เมื่อนายโรลันโด เมนโดซา อดีตสารวัตรอาวุโส ก่อเหตุสะเทือนขวัญจี้ตัวประกันบริษัททัวร์ Hong Thai Travel บริเวณฟอร์ท ซานดิเอโก ชานกรุงมะนิลา และจับตัวประกันชาวฮ่องกงไว้ 21 คน
หลี่เล่าเรื่องของเหลียง จิ่นหรง วัย 58 ที่ถูกยิงพร้อมลูกสาว ดอริส เหลียง ซ่งซือ วัย 21 และ เจสซี เหลียง ซ่งอี๋ วัย 14 ปี ขณะที่ลูกชายของเขา เหลียง ซ่งเสวีย วัย 18ปี ได้รับกระทบกระเทือนทางสมอง ยังคงนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล
“ฉันได้ยินเสียงคุณเหลียง ตะโกนสุดขีดว่า อย่า อย่า ! ในระหว่างที่เขากระโดดออกจากรถ และฉันก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น สุดท้ายร่างของเขาก็ร่วงลงไปกองกับพื้น”
หลี่เล่าต่อว่า มือปืนค่อย ๆ เดินเขามาใกล้เธอ
เธอซ่อนตัวอยู่ใต้ที่นั่ง ขณะที่แม่ของเธอ นางหลัว จิ่นเฟิง วัย 66 ผู้รอดชีวิตจากจากเหตุการณ์ฯ ตอนนั้นซ่อนตัวอยู่ใต้ที่นั่งตรงข้ามช่องทางเดิน
หลี่จำไม่ได้ว่า ได้ยินเสียงปืนกี่นัด แต่กล่าวว่า ไม่ได้มีการยิงมากนัก
“ฉันเห็นมือปืน (เมนโดซา) เดินไปหาเจสัน และฉันก็ได้ยินเสียง .. ปัง ! แล้วมือปืนก็เดินไปที่นั่งของเฉิน กั๋วจู้ ทันใดนั้น เฉินก็ส่งเสียงกรี๊ดว่า อย่า.. ! และไม่นาน ก็ได้เยินเสียง ปัง”
เฉิน วัย 46 คนนี้พยายามต่อสู้จนรอดชีวิต
เมนโดซาเดินย้อนกลับมาที่ด้านหน้ารถบัส หลี่เหลือบไปเห็นร่างของใครก็ไม่รู้นอนถัดอยู่จากร่างของเหลียง จิ่นหรง แต่ไม่ถนัดนักเพราะบรรยากาศมืดครึ้ม เธอจึงเห็นเพียงเงาเท่านั้น
จากใต้ที่นั่ง หลี่สังเกตเห็น เจสซี เหลียง ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าของเธอเริ่มขยับขา
เสียงปืนหยุดลงเป็นเวลานาน หลี่กล่าว “สิ่งเดียวที่ฉันได้ยินเป็นเสียงฝนที่โปรยปรายกระทบหลังคารถบัสดังซู่ ๆ”
แต่จากนั้น เจสซี เหลียง ก็พยายามตะเกียกตะกายลอดตัวไปหาพี่ชายชื่อเจสัน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เพื่อดูอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง หลี่เล่าว่า “เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทันทีที่เธอโผล่ขึ้นมา จนรีบหมอบลงไปที่พื้น จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึนอีกนัด และเห็นประกายไฟพุ่งจากปลายกระบอกปืน”
หลังจากที่เสียงปืนชุดแรกหยุดลงไม่นาน เสียงปืนระลอกสองก็ดังสนั่นขึ้นอีก และดูเหมือนว่าจะยิงรัวไม่เป็นจังหวะเหมือนครั้งแรก หลี่ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงปืนมาจากในรถ หรือนอกรถ
พวกเราจำเป็นต้องเงียบเชียบด้วยความหวาดกลัวสุดขีด จากนั้นไม่นานควันแก๊สน้ำตาก็พวยพุ่งขึ้นในตัวรถบัส ควันทำให้เธอกับแม่สำลักไอออกไป “ฉันกำลังคิดว่า ตำรวจจะทำอะไรกันแน่ เพราะถ้ามือปืนได้ยินเสียงไอของพวกเรา ก็จะรู้ว่าเรายังไม่ตาย ฉันโกรธมากในตอนนั้น
“เมื่อควันแก๊สเข้ามาในรถอีกเป็นรอบที่สอง ฉันคิดว่า ถ้ามือปืนไม่ยิงเราตาย หรือว่าเราไม่ถูกลูกหลงจากปืนตำรวจตาย ฉันก็คงหายใจไม่ออกตายเหมือนกัน”
“ฉันรู้สึกคล้ายกับว่า การยิงออกจากรถไม่เคยหยุดลงเลย”
ก่อนที่จะมีการยิงกันนั้น เมนโดซา ดูสงบนิ่ง เขายังขอโทษที่ต้องจับนักท่องเที่ยวเป็นตัวประกัน
หลังจากจี้รถประจำทางในเช้าวันนั้น เขาได้ปล่อยตัวประกันไปก่อน 6 คน เป็นผู้ใหญ่ 3 และเด็กอีก 3 คน เขายังบอกกับตัวประกันอีกว่า ตัวประกันจะสามารถออกไปได้ตอนบ่าย 3 โมง
เมนโดซาสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินคล้ำ ซึ่งพิมพ์คำว่า "POLICE" อยู่ด้านหลัง และสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้น เขาใส่กุญแจมือคนขับรถนาม อัลเบอร์โต ลูบาง ไว้กับพวงมาลัยรถ แต่ต่อมา พวกเขาก็คุยกันและส่งเสียงหัวเราะ ซ้ำยังสั่งให้คนขับรถขับต่อไปที่สวนสาธารณะริซัล ในกรุงมะนิลา
หลี่เล่าว่า ทีแรกสถานการณ์ไม่ได้น่ากลัวเลย มาซา เซี่ย ถิงจวิ้น ไกด์ประจำทัวร์วัย 31 ปี บอกกับหลี่ว่า นี่เป็นสถานการณ์ปกติที่สามารถจัดการได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง แต่ทว่าต่อมา มาซาเองก็ไม่รอดชีวิต
หลี่ ได้ยินเสียงเมนโดซาพยายามพูดภาษาอังกฤษ โดยใช้คำคล้าย ๆ ว่า “เงินบำนาญ” “ปลดจากตำแหน่ง” “เจ็ดเดือน” และ “ร่วมมือ” เขายังให้โอกาสตัวประกันเปลี่ยนที่นั่งได้สองครั้ง
หลังจากเปลี่ยนที่ในครั้งแรก หลี่ สีว์ เฟิ่งฉิน วัย 66 บ่นว่าปวดท้อง และก็ถูกปล่อยตัวไป ซึ่งศาลก็ระบุในคำให้การก่อนหน้านี้ว่า เขาถูกปล่อยตัวราว 10.30 น.
ตัวประกันได้รับห่ออาหารในช่วงเที่ยง และเวลานั้นก็ได้ยินเสียงเมนโดซาร้องขึ้นสองครั้งว่ า “เบาหวาน ๆ” หลี่ อี้เปียววัย 77 ก็ลุกขึ้นยืน และนี่เป็นโอกาสที่หลี่ต้องการให้แม่ของเธอรอดชีวิตด้วย หล่อนก็ร้องว่า มี 2 คนเป็นเบาหวาน แต่มือปืนยืนยันที่จะปล่อยตัวเพียงคนเดียว หล่อนเล่าว่า เมนโดซาเป็นคนเด็ดขาด แต่เขาก็ไม่แสดงอาการโกรธอะไร
ราวบ่าย 3 หลี่ได้ยินเมนโดซาคุยโทรศัพท์โดยบังเอิญว่า “เริ่มได้” และหลี่เริ่มหวาดกลัวหนักขึ้น เมนโดซาเริ่มตะเบงเสียงเหมือนกับมีอะไรฉุกเฉิน ราว 4.15 น. หลี่ได้ยินเขาพูดทางโทรศัพท์ว่า “เวลาทำงาน” และหลี่ก็คิดว่า นี่เป็นกำหนดเวลาสุดท้าย ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน
ใกล้พระอาทิตย์อัสดงค์ เมนโดซาวางหูโทรศัพท์แล้วพูดว่า “ฉันสูญเสียอนาคต พวกคุณก็เสียชีวิต”
ต่อมาหลี่ก็ได้ยินเสียงปืนระลอกแรกในตอนเย็น แต่ เหลียง จิ่นหรงบอกว่า เมนโดซาต้องการยิงขู่เท่านั้น และจะไม่มีใครเสียชีวิต
การให้ปากคำของหลี่ ยังคงดำเนินต่อไปในวันนี้