เอเยนซี - ไต้หวันเปิดฉากซ้อมยิงขีปนาวุธวานนี้(18 ธ.ค.) หลังจีนเผยโฉมเครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีสเตลท์ “J 20” แต่ขีปนาวุธหลายลูกกลับพลาดเป้าระหว่างปฏิบัติการฯ
การซ้อมยิงขีปนาวุธดังกล่าว ดำเนินการที่ฐานทัพจิ่วเผิง เขตผิงตง ทางตอนใต้ของไต้หวัน โดยมีหม่า อิงจิ่ว ประธานาธิบดีไต้หวันเข้าร่วมชมปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งจำลองสถานการณ์เครื่องบินรบจีนกระหน่ำขีปนาวุธนำวิถี ใส่ไต้หวัน ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยในระหว่างการซ้อมยิงฯ ปรากฏว่า ขีปนาวุธ 6 จาก 19 ลูก พลาดเป้าไปต่อหน้าต่อตาของท่านผู้นำไต้หวัน
การซ้อมยิงขีปนาวุธฯ ประกอบด้วยทหารจากทัพบก เรือ และอากาศ จำนวน 12 กอง และใช้ขีปนาวุธที่ใช้ซ้อมฯ รวม 11 ประเภท ได้แก่ ขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศที่ผลิตขึ้นเอง รุ่น “เทียนกง 2” พิสัยยิง 200 กม. ขีปนาวุธจากอากาศสู่อากาศสัญชาติฝรั่งเศส รุ่น “ไมก้า” และ “เมจิก” และขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศสัญชาติสหรัฐฯ รุ่น “ฮอว์ก” ขณะที่ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแพทริออต และขีปนาวุธอากาศสู่อากาศก้าวหน้าพิสัยกลาง เอไอเอ็ม-120 หรือ แอมแรมไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการซ้อมฯ ครั้งนี้
ส่วนขีปนาวุธที่พลาดเป้า 6 ลูกได้แก่ ขีปนาวุธนำวิถีจากพื้นสู่อากาศ (Sparrow) ระเบิดภายใน 10 วินาทีหลังจากยิง รวมทั้ง “เทียนเจี้ยน 2” และ “ไมก้า” ก็พลาดเป้าตกทะเล
ด้านพลอากาศโทผาน กงเสี่ยว เผยว่า “ผลของการซ้อมยิงขีปนาวุธเป็นไปตามที่เราคาด แต่แน่นอน เราจะต้องพัฒนาต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ท่านประธานาธิบดีแห่งไต้หวัน ดูจะไม่ค่อยพอใจกับผลการซ้อมเท่าใดนัก โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ผมไม่พอใจอย่างมากที่ขีปนาวุธบางลูกพลาดเป้า และทางกองทัพควรจะหาสาเหตุมาให้ได้ว่า เกิดการผิดพลาดที่จุดใด เป็นที่คนหรือที่กลไก อีกทั้งต้องมีการซ้อมให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพ”
พร้อมกล่าวว่า “ไต้หวันไม่ได้มีเจตนาประกาศสงคราม แต่ต้องการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น”
เจ้าหน้าที่ทางทหารไต้หวัน เผยว่า ปฏิบัติการดังกล่าวได้เริ่มขึ้น หลังจากทางกองทัพฯ มั่นใจว่า ไม่มีเรือสอดแนมจากจีน มาเก็บข้อมูลอยู่ใกล้ชายฝั่งของฐานทัพฯ
การซ้อมยิงขีปนาวุธฯ ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกนับจากปี 2545 มีนักข่าวราว 60 คนจากสื่อท้องถิ่นและสื่อต่างประเทศ 39 แห่งเข้าชม โดยปฏิบัติการซ้อมยิงขีปนาวุธเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ประธานาธิบดี หู จิ่นเทาเยือนสหรัฐฯ โดยการเยือนครั้งนี้อาจมีการถกเถียงประเด็นเกี่ยวกับไต้หวันในการประชุมระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐฯ
ฝ่ายนักวิเคราะห์เชื่อว่า ไต้หวันต้องการส่งสัญญาณให้สหรัฐฯ รู้ว่า ไต้หวันต้องการพัฒนาระบบการป้องกันตนเองให้เข้มแข็ง เพื่อสามารถต่อกรกับแสนยานุภาพทางทหารของจีน และทำให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
ติง ซู่ฟาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารและเลขาธิสภาการศึกษานโยบายก้าวหน้าของจีนประจำไทเป เผยว่า “ไต้หวันต้องการส่งสัญญาณให้จีนและสหรัฐฯ รับรู้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการเปิดเผยต่อสื่อมวลชนระหว่างการซ้อมฯ”
ติง กล่าวว่า การพัฒนา เครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีสเตลท์ J 20 ส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อขีดความสามารถการป้องกันตนเองของไต้หวัน ไต้หวันจึงต้องเพิ่มขีดความสามารถระบบตรวจจับอย่างรวดเร็ว ก่อนจีนจะเริ่มใช้ J 20 ออกปฏิบัติการ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อื่น ๆ เชื่อว่า เงื่อนเวลาที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันนี้เป็นเพียงความบังเอิญ
อเล็กซานเดอร์ หวง เฉินเจี่ย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สถาบันการต่างประเทศและยุทธศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยตั้นเจียง เปิดเผยว่า “การซ้อมฯ เพียงต้องการแสดงให้โลกเห็นว่าไต้หวันต้องการปกป้องประเทศตัวเองเท่านั้น”
ขณะที่นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคง ดร.หม่า ติงเซิ่ง ชี้ว่า “แม้ว่าการซ้อมจะระดมอาวุธมากมายแต่ก็ไม่ได้ใช้ ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแพทริออต 2 เพื่อทำให้สหรัฐฯลำบากใจ พร้อมชี้ว่าการพลาดเป้าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการยิงฯ จากพื้นสู่อากาศ หรืออากาศสู่อากาศไปยังเป้าที่เคลื่อนไหว”
“สหรัฐฯ เคยใช้แพทริออตในสงครามอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งมีขีดความสามารถในการยิงแม่นเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ แต่นี่ไต้หวันใช้อาวุธที่ด้อยกว่าแพทริออต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความแม่นยำ” หม่ากล่าว
หวัง เกาเฉิง ผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงของม.ตั้นเจียงอีกคนกล่าวว่า “เป้าหมายเดียวของการซ้อมฯคือการกระตุ้นให้สหรัฐฯ ตัดสินใจขายเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 ซี/ดี รุ่นก้าวหน้าให้แก่ไต้หวัน”
อนึ่ง จีนและไต้หวัน ได้แยกการปกครองจากกัน หลังสิ้นสุดสงครามกลางเมืองในปี 2492 แต่จีนยังคงถือไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนและจะต้องกลับมารวมชาติในที่สุด อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ จีน-ไต้หวัน พัฒนาดีขึ้น หลังจากประธานาธิบดี หม่า อิงจิ่ว ผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง เข้ารับตำแหน่งในปี 2551