ไชน่าเดลี่-วันนี้ (3 พ.ย.)ไชน่าเดลี่ได้รายงานถึงผลสำรวจของธอมป์สัน รอยเตอร์ส ระบุว่านักวิจัยชาวจีนผลิตงานวิจัยเพิ่มมากขึ้น และเป็นรองเพียงนักวิจัยจากสหรัฐเท่านั้น
หลังจากที่ทั่วโลกได้แต่กล่าวว่า จีนมักจะลอกเลียนแบบผู้อื่น และไม่อาจจะเป็นผู้นำโลกได้เพราะไม่มีนวัตกรรมเพียงพอ แต่จากรายงานดังกล่าวพบว่า จีนเริ่มมีอิทธิพลในแวดวงวิจัยที่หลากหลายซับซ้อนมากขึ้น การขยายตัวของงานวิจัยจีนเห็นได้ชัดเจนกว่าทุกประเทศในโลก และอีกเพียงไม่ถึงสิบปี ก็คาดว่า จีนจะมีงานวิจัยชั้นนำมากกว่าสหรัฐ โดยปีที่แล้วจีนตีพิมพ์งานวิจัยเกือบ 112,000 ชิ้น ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าปี 2541 ถึง 5.6 เท่าจากที่มีเพียง 20,000 ชิ้น ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน สหรัฐตีพิมพ์ 340,000 ชิ้น เพิ่มขึ้น 1 ใน 3 จาก 265,000 ชิ้น
โดยงานวิจัยของจีนเน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกายภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวัสดุศาสตร์ เคมีและฟิสิกส์ ทำให้คาดการณ์ได้ว่า อีกไม่นานไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จะเห็นการนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมที่อาศัยเทคโนโลยีจีน
ปัจจุบันเทคโนโลยีของจีนมากกว่าครึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้ว เช่น วิทยาการด้านพลังงานปรมาณู วิทยาศาสตร์อวกาศ ฟิสิกส์ชั้นสูง ชีววิทยา วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ และหากงานวิจัยของจีนเติบโตด้วยอัตราเช่นนี้ต่อไป คงจะทำให้สถาบันวิจัยในสหรัฐและยุโรปต้องการเป็นส่วนหนึ่งด้วย
ส่วนเทคโนโลยีที่กำลังมีอัตราเติบโตสูงของจีน ได้แก่ วิทยาศาสตร์การเกษตร ภูมิคุ้มกันวิทยา จุลชีววิทยา ชีววิทยาโมเลกุล และพันธุกรรมศาสตร์
และในการวิจัยร่วมกันระหว่างประเทศ ก็พบว่า สหรัฐเป็นประเทศที่ร่วมทำงานวิจัยค้นคว้ากับจีนมากที่สุด คือมีชิ้นงานวิจัยร่วมกันมากกว่า 39,000 ชิ้น หรือร้อยละ 8.9 รองลงมาคือญี่ปุ่น ในสัดส่วน ร้อยละ 3