xs
xsm
sm
md
lg

“เวิน” ระบุจีนพร้อมเจรจาสันติภาพกับไต้หวัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า กล่าวรายงานต่อที่ประชุมประจำปีสภาประชาชนแห่งชาติจีน(CPPCC) เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2552 - ภาพ เอเอฟพี
รอยเตอร์ - เวิน เจียเป่านายกรัฐมนตรีจีนกล่าววันนี้ว่า จีนพร้อมจะเจรจาสันติภาพกับไต้หวัน ซึ่งเป็นข้อเสนอล่าสุดที่จีนนำเสนอแก่ไต้หวันดินแดนซึ่งอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน

นายกรัฐมนตรีเวิน กล่าวในรายงานที่เสนอต่อที่ประชุมประจำปีสภาประชาชนแห่งชาติจีน(CPPCC)ที่เปิดฉากเป็นวันแรกในวันนี้( 5 มี.ค.)ว่า จีนพร้อมเปิดการเจรจาทางด้านการเมือง การทหาร และการสร้างสภาวะที่เหมาะสมในการยุติความเป็นศัตรูกับไต้หวัน รวมทั้งสรุปข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัน

ขณะที่โทนี่ หวังโฆษกของรัฐบาลหม่า อิงจิ่วระบุว่า ข้อตกลงสันติภาพจะส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย แต่ไต้หวันซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยต้องการข้อตกลงทางเศรษฐกิจก่อนข้อตกลงทางการเมือง

ทั้งนี้สถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ในไต้หวันวันนี้ตอบรับการประชุมรัฐสภาจีนอย่างคึกคัก โดยหุ้นของเช้าวันพฤหัสบดีขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.67 ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเหรียญไต้หวันก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จีนยืนยันไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองในปี 2492 (1949) เมื่อพรรคกั๋วหมินตั่ง หรือก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้พรรคคอมมิวนิสต์จนต้องถอยร่นมายังเกาะไต้หวัน ความสัมพันธ์ทั้งสองทรุดหนักระหว่างช่วงสมัยอดีตประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยนแห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หรือ ดีพีพี ซึ่งสนับสนุนอิสรภาพดินแดน ความสัมพันธ์ทั้งสองแผ่นดินก้าวหน้ามากที่สุด หลังจากประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของไต้หวันปี่แล้ว และได้ลงนามกระชับสัมพันธ์เศรษฐกิจ กระทั่งเปิดการเชื่อมโยงโดยตรงทั้งสามด้านเป็นครั้งแรกหลังตัดขาดกันเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ทั้งด้านการติดต่อทางอากาศ, การขนส่งทางเรือ และการไปรษณีย์

“ความสัมพันธ์ระหว่างช่องแคบไต้หวันได้ดำเนินไปสู่การพัฒนาอย่างสันติ และเราจะดำเนินภายใต้นโยบายจีนเดียวที่จะยกระดับความไว้วางใจทางการเมืองระหว่างสองฝ่าย” เวิน เจียเป่า กล่าวรายงานต่อที่ประชุม

แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า มีขึ้นเมื่อไต้หวันให้ความไว้วางใจจีนมากขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่ส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุน เนื่องจากจีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่สุดของไต้หวัน มีมูลค่าการค้าทวิภาคีกว่า 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น