บีบีซี นิวส์ – ในโอกาสที่จีนกำลังเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 30 ปีแห่งการปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดประเทศ แต่ย้อนหลังไปเมื่อเดือนธันวาคม 2521 อดีตผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง ประกาศก้อง ประเทศจีนไม่ใช่แค่ใจกว้างยอมรับการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนเท่านั้น แต่จะสนับสนุนช่วยเหลือกันเลยทีเดียว
นับจากนั้นมา ดินแดนมังกรก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประชาชนหลายล้านคนทิ้งชนบท หวังสร้างชีวิตที่ดีขึ้นในเมือง
ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างน่าพิศวง ชนชั้นกลางเพิ่มจำนวนมากขึ้น พวกเขามีอาชีพการงาน และฐานะดี เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรส่วนอื่น
ทว่ามาวันนี้ พวกที่ย้ายมาอยู่ในเมืองต่าง ๆ อย่างนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อทำงาน เงินเดือนดี ๆ ในบริษัท บางคนเริ่มยี้กับชีวิตการทำงาน ที่ซ้ำซากจำเจ ดิ้นรนแสวงหากันไปไม่มีจุดสิ้นสุด แต่ผลตอบแทน ที่ได้รับกลับไม่คุ้มค่า
คนเบื่อหน่ายได้ลงมือกระทำในสิ่งที่เป็นการสวนทางกับการเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นในอดีต
หันหลังให้เมืองอันแสนวุ่นวาย บ่ายหน้าสู่ชีวิตสงบเงียบในชนบท
ชีวิตบ้านนอก
เกา หง และหยาง เสียวหลิง คู่สามีภรรยา วัยสามสิบกว่า มีอาชีพในตำแหน่งระดับผู้บริหารของบริษัทโฆษณา แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งคู่กลับตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้าน อันเงียบสงบที่บ้านนอก ห่างไกลขนาด ใช้เวลาขับรถจากเซี่ยงไฮ้ในมณฑลเจียงซี มา 8 ชั่วโมง
มันเป็นบ้านหลังเก่า ซึ่งหยาง เสียวหลิงพบเข้าโดยบังเอิญระหว่างเดินทางมาทำธุรกิจ ทั้งสองจึงตกลงใจทำสัญญาเช่านาน 40 ปี
“เสียวหลิงมาเจอบ้านหลังนี้เข้า ตอนกำลังมองหาร่ม ที่เป็นงานหัตถกรรมครับ” สามีเล่า ขณะนั่งอยู่กลางแสงแดดยามเช้าของเดือนธันวาคม ภายในสวนบ้านชนบท อากาศหนาวเย็น แต่ท้องฟ้ากระจ่างใส
คนทั้งสองให้เหตุผลหลายข้อ ที่ทำให้ตัดสินใจแบบนี้
หยาง เสียวหลิงไม่ชอบชีวิตในเมืองที่นั่น
“ คุณทำงานอยู่ในบริษัทก็เหมือนกับคุณกำลังอยู่ในเครื่องจักรตัวหนึ่ง” ภรรยาอธิบาย
“ชีวิตการทำงานของคุณซ้ำซากจำเจ ทำตามที่เค้าบอกให้ทำ”
“ผู้คนในเมืองเฉยเมยห่างเหินต่อกัน” เกา หงเสริม
“ ที่นี่ พวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงมักไปมาหาสู่ และกินข้าวกับเรา มานั่งผึ่งแดดในสวน พูดคุยเป็นกันเองอยู่เสมอ เราเองก็ไม่เคยใส่กลอนประตูบ้านเลย ”
“ เราสองคนอาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็นานหลายปี แต่ไม่มีการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนบ้านถึงร้อยละ 90 พอคุณไม่พบปะติดต่อกับเพื่อนบ้าน คุณก็ไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านเป็นคนเช่นไร”
ขัดขวางความเจริญของสังคม ?
สองสามีภรรยาเปิดบล็อกในอินเตอร์เน็ต เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตใหม่ และแจงเหตุผล ที่เลือกใช้ชีวิตในชนบท
ภายในห้องพื้นไม้เล็ก ๆ ไม่มีเครื่องทำความอุ่น พวกเขากำลังเปิดอ่านข้อความแสดงความคิดเห็นของเพื่อนชาวเน็ตจากคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว
“ หลายคนบอกว่า ในส่วนลึกของหัวใจ ก็มีความปรารถนาอย่างเรา” หยาง เสียวหลิงบอก
แต่บางคนก็ไม่แน่ใจ มีสตรีคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า “เซี่ยงไฮ้ เกิร์ล” เทศนาสั่งสอนเสียยกใหญ่
“เธอบอกว่า : พวกคุณอายุ 35 ปี ควรเป็นกระดูกสันหลังของสังคม แต่กลับเลือกหลบหนี มาหาชีวิตสบาย” หยาง เสียงหลิงเล่า
“พวกคุณกำลังชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด ขัดขวางความเจริญของสังคม” เซี่ยงไฮ้ เกิร์ลติเตียน
ร้อนถึงเพื่อนชาวเน็ตคนอื่น ๆ ต้องออกมาช่วยแก้ต่างเสียงลั่น
ทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะเลือกรูปแบบชีวิตของตัวเองนะยะ เซี่ยงไฮ้ เกิร์ล !
“ฉันไม่ได้คุกคามสังคมนะคะ และสนุกกับการปลูกต้นไม้ ทำสวน มันดีออก ฉันว่า” หยาง เสียวหลิง เข้าใจความต้องการของตนเองอย่างชัดเจน
เราเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
อย่างไรก็ตาม คนทั้งคู่ยอมรับว่า เมื่อย้ายมาอยู่ชนบท ชีวิตมิได้เรียบง่ายอย่างที่ต้องการไปเสียทั้งหมด
พวกเพื่อนบ้านต้องมาช่วยยกแปลง ทำสวนผัก เพราะทั้งคู่ไม่รู้อะไรเลย ผักที่ปลูกได้ มีมากเพียงพอสำหรับการบริโภค แต่ผักสด ที่เหลือ ไม่มีที่ไหนอยู่ใกล้พอ จะเอาไปขายได้เลย
แถมยังมีปัญหาเรื่องหนูอาละวาด และหลังคาบ้านรั่ว ทว่าเมื่อเทียบกับความยากลำบากในการพยายามทำตัวให้คุ้นเคยกับชีวิตในเมืองแล้ว ปัญหาที่เจอเหล่านี้กลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย
ไม่มีใครออกมาแนะว่า การตัดสินใจหลีกลี้จากเมืองของคนทั้งสองคือจุดเริ่มต้นของแนวโน้มครั้งใหญ่ในสังคมจีน
เกา หง กำลังเขียนหนังสือ บอกเล่าประสบการณ์ และเมื่อพวกเขาปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหลังนี้เสร็จ ก็อาจเปิดเป็นเกสต์เฮาส์ นอกจากนั้น ยังวางแผนช่วยเหลือคนในท้องถิ่นนำสินค้าประเภทอาหาร และสินค้าประเภทอื่น ๆส่งไปขายในเมืองอีกด้วย
สองสามีภรรยายังต้องพึ่งเงิน ที่เก็บออม เลี้ยงชีวิตไปจนกว่าการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนกลับมา
เกา หง และหยาง เสียวหลิงบอกว่า พวกเขามองตัวเองเป็นผู้บุกเบิก
“เราอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่าปีแล้วล่ะครับ ไม่เคยคิดสักนิดเลยว่า นี่มันสุดห่วย จนต้องกลับไปเซี่ยงไฮ้” เกา หงหัวเราะ
สองสามีภรรยาเปิดประตูหน้าบ้านทิ้งไว้ แล้วพากันออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกที่นี่เป็นของพื้น ๆ เพื่อนบ้านบางคนกำลังซักผ้าด้วยมืออยู่ในลำธาร ราวกับยุคสมัยหมุนย้อนกลับไปเมื่อ 50 หรือ 60 ปีก่อน
แต่คู่วิหคกลับหรรษา
“เดี๋ยวนี้ หมาไม่เห่าเราแล้วนะ” ทั้งสองคุย
“พวกหมาจะเห่าคนแปลกหน้า ซึ่งทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนที่นี่แล้ว”