เอเอฟพี – กูรูเรื่องจีนนำโดยบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง แม็คคินซี่ย์ ทำนายอนาคตจีนในอีก 3 ทศวรรษหน้า เชื่อภายในปี 2030 ประชากรในเขตเมืองของจีนจะพุ่งขึ้นเป็น 1,000 ล้านคน ตึกระฟ้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และในปี 2038 จีนจะก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 1 ของโลก แต่ถึงกระนั้นรายได้ของชาวเมืองส่วนใหญ่ก็ยังน้อยกว่าประเทศตะวันตกอยู่ดี
เจมส์ แคนตัน ผู้เขียนหนังสือ “The Extreme Future” กล่าวว่า “ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาวิกฤตของจีนที่จะต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนจำนวนมหาศาล และหาวิธีบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ”
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ แม็คคินซี่ย์ แอนด์ คอมปานี บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการที่ระบุว่า ภายในปี 2025 ประชากรในเขตเมืองของจีนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 926 ล้านคนจาก 572 ล้านในปี 2005 ซึ่งเป็นจำนวนมากเทียบเท่ากับประชากรของสหรัฐฯ ทั้งประเทศ และภายในปี 2030 จำนวนจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 1,000 ล้านคนเลยทีเดียว โดยปัจจุบันจีนมีประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ 1,300 ล้านคน
แม็คคินซี่ย์ยังกล่าวว่า ในสองทศวรรษข้างหน้า ประเทศจีนจะมีตึกสูงระฟ้าใหม่ๆ ผุดขึ้นมามากถึง 20,000-50,000 ตึก ซึ่งเป็นจำนวนมากเท่ากับเมืองนิวยอร์ก 10 เมืองเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีเมืองมากกว่า 170 เมืองที่ต้องการระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ภายในปี 2025 ซึ่งมากกว่าประเทศในยุโรปรวมกันถึง 2 เท่า นับเป็น “การขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนที่มากสุดในประวัติศาสตร์”
เมืองต่างๆ ของจีนจะสนับสนุนให้ผู้ผลิตของตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น และกลายเป็นศูนย์นวัตกรรมใหม่สำหรับสินค้าต่างๆ เช่น นาโนเทคโนโลยี วัสดุฉลาด* และเวชภัณฑ์ ตามที่แคนตันคาดการณ์
นอกจากนี้ เมืองเหล่านี้ยังจะเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางมากที่สุดในโลกด้วย อย่างไรก็ตามการจะอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนมากกว่า 1,000 ล้านคนนั้น จำเป็นต้องพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและระบบความปลอดภัย
ด้านสแตนลีย์ เย่ นักเศรษฐศาสตร์และนักวางผังเมืองคาดการณ์ว่า ในอนาคตการออกแบบและสถาปัตยกรรมของจีนนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมายใหม่ที่เรียกร้องให้อาคารสร้างใหม่ทั้งหมดลดการใช้พลังงานลงครึ่งหนึ่งภายในสิ้นปี 2010 ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการดังกล่าว ตึกใหม่ที่สร้างในเมืองทางตอนเหนือที่อากาศค่อนข้างเย็น จะเน้นแสงธรรมชาติ ใช้ฉนวนหลายชั้น เพื่อให้ตัวอาคารอบอุ่นโดยไม่ต้องเปิดเครื่องทำความร้อน ขณะที่อาคารในเมืองทางตอนใต้ จะเปิดโล่งและระบายอากาศมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะมีการใช้แผงโซลาร์เซลล์มากขึ้นด้วย
ขณะที่สภาข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (US National Intelligence Council หรือ NIC) ระบุในรายงานชิ้นล่าสุดว่า ภายในปี 2025 คาดว่าจีนจะแซงหน้าญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก โดยระบุว่า “มีน้อยประเทศนักที่จะมีอิทธิพลมากกว่าจีนในอีก 15-20 ปีข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม สภาข่าวกรองฯ มองว่า อุปสรรคหนักหนาที่สุดที่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องเผชิญก็คือความท้าทายในเขตเมือง อันได้แก่ ช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนที่ฉีกถ่างออกไปทุกขณะ ปัญหาการคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ และสิ่งแวดล้อมที่ทรุดโทรมหนัก แต่ถ้าหากไม่มี “มหาพายุ” จากประเด็นเหล่านี้โหมกระพือให้หนักขึ้นอีก รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้
ด้าน เหยา ซูเจี๋ย คณบดีคณะจีนร่วมสมัยศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยนอตติ้งแฮมเชื่อว่า ภายในปี 2038 จีนจะกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่ว่ารายได้ของประชาชนส่วนใหญ่จะยังคงล้าหลังประเทศฟากตะวันตก
ขณะเดียวกัน เหยายังมองว่า “ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จีนยังทำไม่ดีพอในเรื่องของความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสังคม รวมไปถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ในแง่ของการปฏิรูปการเมืองก็ยังพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า” ซึ่งเหยามองว่าเหล่านี้จะเป็นสิ่งท้าทายที่สุดใน 30 ปีข้างหน้าของจีน
หมายเหตุ *วัสดุฉลาด คือ วัสดุที่สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่มันทำงานอยู่ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นตามรูปแบบที่มีการกำหนดไว้ก่อนล่วงหน้าเหมือนพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น เซนเซอร์ (ที่มาข้อมูล http://th.wikipedia.org)