自( zì) อ่านว่า จื้อ แปลว่า ตัวเอง
惭(cán) อ่านว่า ฉาน แปลว่า อับอาย
形秽(xínghuì) อ่านว่า สิงฮุ่ย แปลว่า อัปลักษณ์
ในสมัยจิ้น มีแม่ทัพทหารม้านายหนึ่งนามว่า หวังจี้ ซึ่งมีหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังบุคลิกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และแม้ว่าจะถือดาบจับปืนอยู่เป็นประจำแต่เขายังเชี่ยวชาญด้านวิชาการและกาพย์กวีด้วย ดังนั้นจึงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งในเมือง
ในปีหนึ่ง หลานชายนาม เว่ยเจี้ย และมารดาได้เดินทางอพยพมาขอพึ่งใบบุญหวังจี้ เมื่อหวังจี้ได้พบเว่ยเจี้ยที่หน้าตาหมดจดหล่อเหลา บุคลิกท่าทางยิ่งน่าชื่นชมปานนั้น ก็ตกตะลึงและกล่าวกับมารดาของเว่ยเจี้ยว่า "ผู้คนต่างกล่าวขวัญว่าข้ามีรูปร่างหน้าตางดงามเกินผู้ใด แต่ตอนนี้หากเทียบกับหลานชายแล้ว กลับคล้ายเอาก้อนหินมาวางคู่กับมุกมณีมีค่า ข้ากลับกลายเป็นอัปลักษณ์ยิ่ง!"
ผ่านไปไม่กี่วัน หวังจี้พาเว่ยเจี้ยเดินทางไปคารวะบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย ระหว่างเดินทาง เมื่อผ่านถนนหนทาง ผู้คนที่พบเห็นเว่ยเจี้ยต่างคิดว่าเขางดงามราวแกะสลักมาจากหยกขาว จึงพากันมามุงดู เมื่อมาถึงที่หมาย บรรดาญาติสนิทมิตรสหายจึงต้องการทดสอบว่านอกจากหน้าตาที่เลิศเลอแล้ว ความรู้ความสามารถของเว่ยเจี้ยเป็นเช่นไร โดยให้เขาอธิบายหลักปรัชญาเสวียน (ปรัชญาแขนงหนึ่งในสมัยเว่ยจิ้น ซึ่งเป็นการนำแนวคิดในลัทธิเต๋าและขงจื้อมารวมกัน ก่อตั้งโดยเหอเอี้ยนและหวังปี้) เว่ยเจี้ยไม่อาจปฏิเสธ จึงต้องกล่าวหลักปรัชญาเสวียน ให้ทุกคนฟัง
แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่เมื่อกล่าวจบ ทุกคนที่ได้ฟังล้วนกล่าวชมเชยว่าเป็นการอธิบายปรัชญาที่ยอดเยี่ยมรวบรัดหมดจดยิ่ง ผู้คนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ดูท่า ท่านหวังถึง 3 คนคงจะไม่อาจเทียบเท่าเด็กหนุ่มตระกูลเว่ยเพียงคนเดียวแล้ว"
หวังจี้กล่าวตอบว่า "เป็นจริงดังนั้น เมื่อเทียบกับข้าแล้ว หลานชายเป็นดังมุกชั้นเลิศที่เปล่งประกายอยู่ข้างกายข้า"
"จื้อฉานสิงฮุ่ย" หรือ "อับอายความอัปลักษณ์ของตน" ใช้เมื่อตนเองรู้สึกอับอายที่สู้คนอื่นไม่ได้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง