xs
xsm
sm
md
lg

“เนลสัน เย่” นักขี่ม้าหัวใจทระนง ขอฮึดสู้เพื่อพิชิตความพิการ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เนลสัน เย่ กับม้าคู่ใจ ไอซี่เบท
เอเอฟพี - “หากผมเป็นคนปกติผมคงจะไม่ได้มาฝึกขี่ม้า แต่เพราะความบกพร่องทางร่างกายนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือความท้าทายและผมต้องเอาชนะมันให้ได้” เนลสัน เย่ (Nelson Yip) นักกีฬาขี่ม้าเพียงคนเดียวจากเกาะฮ่องกงที่มีคุณสมบัติเข้าแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกครั้งนี้กล่าว

เย่ในวัย 40 กะรัตป่วยด้วยโรคสมองพิการ โดยสมองส่วนที่ใช้ควบคุมกล้ามเนื้อบกพร่องหรือสูญเสียจนทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้เขาต้องพึ่งพาอาศัยไม้ค้ำยันช่วยประคองตัวแทนขาทั้งสองข้างที่ไร้เรี่ยวแรง
เนลสัน เย่ องอาจบนหลังม้า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ย.) เย่ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการเป็นนักกีฬาขี่ม้าจากฮ่องกงคนแรกที่ได้เข้าแข่งขันกีฬาพาราลิมปิก โดยเย่พร้อมด้วยเจ้า “ไอซี่เบท” ม้าคู่ใจ ลงสนามรายการแข่งขันศิลปะการบังคับม้าเป็นรายแรก

สำหรับฮ่องกงนั้น คนพิการส่วนใหญ่ไม่ค่อยเลือกที่จะเล่นกีฬานี้นัก แต่เย่เป็นคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่และแตกต่างจากคนอื่น

ย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อน เย่เริ่มต้นขี่ม้า เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาต้องการพาหนะสำหรับช่วยให้เขาไปยังที่ต่างๆ ได้ แต่เป็นเพราะเขารักอิสระ ความรู้สึกแห่งอิสรภาพที่จะได้จากการขี่ม้าข้ามทุ่งหญ้าเขียวขจีภายใต้ท้องฟ้าสีคราม

“มันเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน และผมก็คิดว่าทำไมผมจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้ล่ะ” เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีในปี 2001 เมื่อครั้งได้รับเชิญจากสมาคมขี่ม้าของผู้พิการแห่งฮ่องกง เพื่อร่วมในหลักสูตรฝึกสอนสำหรับผู้เริ่มต้นเป็นเวลา 5 เดือน

และในกีฬาพาราลิมปิกที่ปักกิ่งครั้งนี้ มีนักกีฬานานาชาติไม่ต่ำกว่า 4,000 คนเข้าร่วมการแข่งขัน โดยในครั้งนี้ฮ่องกงได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันขี่ม้าในสนามแข่งขันกีฬาขี่ม้าในเขตชนบทซาทินเช่นเดียวกับที่จัดในการแข่งขันโอลิมปิกปักกิ่ง เนื่องจากแผ่นดินใหญ่ไม่สามารถรับประกันการดูแลสุขภาพของม้าได้

โดยในการแข่งขันครั้งนี้มีนักกีฬาขี่ม้าจาก 28 ประเทศจำนวนทั้งสิ้น 73 คน พร้อมม้าคู่ใจอีก 71 ตัวเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการบังคับม้า โดยเย่ได้ลงแข่งขันศิลปะการบังคับม้าเกรด 2 แม้ว่าเขาจะชวดเหรียญทองให้แก่ผู้เข้าแข่งขันจากแคนาดาไปอย่างน่าเสียดาย แต่ผู้เข้าชมการแข่งขันครั้งนี้ต่างก็ชื่นชมในความพยายามของเขา

ทั้งนี้ การแข่งขันศิลปะการบังคับม้าในการแข่งขันพาราลิมปิกแบ่งเป็น 4 เกรด คือ เกรด 1 ซึ่งผู้แข่งขันจะมีระดับความพิการสูงกว่าระดับที่ 4 ผู้แข่งขันเกรด 1 และ 2 จะแค่บังคับม้าให้เดินเพียงอย่างเดียว หรือเดินและวิ่งเหยาะๆ ส่วนเกรด 3 และ 4 นั้นผู้ขี่จะต้องบังคับม้าให้วิ่ง และมีเสริมบางท่าด้วย

เนลสัน เย่ เป็นอัมพาตช่วงล่างเนื่องจากสมองพิการบกพร่องมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตในวัยเยาว์ของเขาเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แต่ในที่สุดเขาก็ได้เข้าโรงเรียน และคว้าปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์เอกสถิติและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์มาได้สำเร็จ

หลังจากจบการศึกษา ในช่วงทศวรรษที่ 1990 เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ “Hong Kong Rehabilitation Power” เพื่อช่วยเหลือผู้พิการให้สามารถเอาชนะความรู้สึกที่มองว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาประเทศตะวันตกได้มีการช่วยให้ผู้พิการปรับทัศนะคติของตัวเอง ขณะที่เย่ยังมองว่า “ผู้พิการในเอเชียส่วนใหญ่ยังมองว่าตัวเองมีกรรมหรือโชคร้าย แต่ผมคิดเสมอว่ามันไม่เกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกายหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่จิตใจ ความเชื่อ และความมั่นใจของพวกเขาต่างหาก”
ใช้อุปกรณ์ช่วยค้ำ
“หากคุณต้องการกลายเป็นนักกีฬาชั้นแนวหน้า แรงใจและแรงกายเป็นสิ่งสำคัญมาก และนั่นก็เป็นจุดอ่อนของนักกีฬาขี่ม้าเอเชีย”

ศิลปะการบังคับม้าในพาราลิมปิก ก็เหมือนการแข่งขันขี่ม้าของคนปกติ นั่นคือนักกีฬาจะถูกให้คะแนนจากความสามารถในการบังคับม้าภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดสำหรับผู้พิการ โดยผู้แข่งขันจะต้องบังคับให้ม้าเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และต้องไม่ให้เห็นว่าผู้ขี่กำลังชี้นำอยู่

ซึ่งในกรณีของเย่นั้น ความที่เขาเป็นอัมพาตช่วงล่างทำให้เป็นอุปสรรคต่อการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อให้ได้สมบูรณ์ เฉพาะแค่ตอนขึ้นนั่งบนหลังเจ้าม้าไอซี่เบท เย่ก็จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ 2 คนช่วยจับม้าให้อยู่กับที่ และให้อีกคนช่วยส่งเขาขึ้นม้า อีกทั้งเนื่องจากขาทั้งสองข้างของเขาทำได้แค่กระตุ้นให้ม้าเดินหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องสื่อสารกับไอซี่เบทด้วยการขยับสะโพกและแขนโดยส่งแรงสั่นสะเทือนไปตามเหล็กที่ปากม้าและแส้

“มัน (โรคสมองพิการ) เป็นอุปสรรคต่อการขี่ม้าของผมมาก แต่มันก็เป็นปัญหาที่ผมต้องเอาชนะให้ได้”

“ความพิการได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผม—มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม และการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นมันทำให้ผมค้นพบพรสวรรค์และศักยภาพของตัวเองและพร้อมที่จะลองก้าวไปสู่ความเป็นที่สุดของตัวเอง ดังนั้นความไม่สมบูรณ์พร้อมบางครั้งมันก็เป็นพรของพระเจ้า” เย่กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมได้ค้นพบอีกอย่างหนึ่งว่า ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของตัวเราก็คือ....ตัวเราเอง...”
กำลังโหลดความคิดเห็น