เอเยนซี – ในที่สุดหม่า อิงจิ่วก็เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการพลิกหน้าใหม่ให้กับประวัติศาสตร์ไต้หวัน หลังจากในสมัยของเฉิน สุยเปี่ยนได้สร้างความระหองระแหงกับจีนแผ่นดินใหญ่และสหรัฐฯไว้ไม่น้อย พร้อมประกาศลั่น “ไม่มีวันเจรจารวมประเทศ”
หลังรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันไปตั้งแต่เดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ในที่สุด 9.00 น. ของวันที่ 20 พ.ค. ตามเวลาในไทเป เป็นเวลาที่นายหม่า อิงจิ่วได้เข้าพิธีสาบานตนเข้าเป็นประธานาธิบดีไต้หวันคนใหม่ จากนั้นก็เป็นพิธีที่หม่า อิงจิ่วและเซียว วั่นฉางจะส่งเฉิน สุยเปี่ยนกับหลี่ว์ ซิ่วเหลียนออกจากทำเนียบ และตบท้ายที่พิธีการแต่งตั้งนายหลิว เจ้าเสวียนเป็นนายกรัฐมนตรี
หม่าแถลงในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันอังคารว่าจะกลับสู่โต๊ะเจรจากับจีน ซึ่งเป็นการเน้นย้ำว่าการปรองดองกับจีนจะเป็นภารกิจสำคัญระหว่างอยู่ในตำแหน่ง 4 ปีของเขา
“ไต้หวันและจีนได้บรรลุหลักชี้นำการเจรจาทวิภาคีเมื่อปี 1992 ซึ่งเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายตีความหมาย “หนึ่งจีน” ตามแนวคิดของตัวเอง และผมก็หวังว่าเราจะกลับหน้ากลับมาเจรจากันโดยเร็วที่สุด” ประธานาธิบดีหม่า กล่าว
พิธีดังกล่าวเท่ากับเป็นการยุติบทบาทของอดีตประธานาธิบดีปากไวใจเร็วอย่างเฉิน สุยเปี่ยน และต้อนรับการมาทำงานของประธานาธิบดีคนใหม่วัย 57 ปี อดีตผู้ว่าไทเป จบการศึกษาจากฮาร์วาร์ด ที่มีมาดสุขุมลุ่มลึก โดยก่อนจะมารับตำแหน่งนี้ หม่าเองก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าเขามีนโยบายที่จะร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจกับจีน ซึ่งการประกาศนี้ ได้คลี่คลายความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวันที่มีมายาวนานเกือบ 60 ปี นับจากวันที่เจี่ยง เจี้ยสือหรือเจียง ไคเชคนำกองกำลังมาตั้งหลักใหม่ที่ไต้หวัน หลังแพ้สงครามกลางเมืองแก่ผู้นำคอมมิวนิสต์เมื่อปี 1949
โดยในคำกล่าวสุนทรพจน์ขณะรับตำแหน่งนี้ หม่าได้เน้นย้ำว่า “ไต้หวันเป็นเกาะกลางทะเล ถ้าเปิดกว้างก็จะเจริญรุ่งเรือง หากปิดกั้นก็จะเสื่อมถอย รัฐบาลใหม่จะยืนหยัดในการเปิดกว้าง ผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของประชาชน และใช้ความได้เปรียบของไต้หวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
การขึ้นสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีของหม่าในครั้งนี้ ยังเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ไปสู่ยุคใหม่ เป็นการเปลี่ยนผ่านจากยุคของเฉิน สุยเปี่ยนที่พยายามเน้นนโยบายประกาศเอกราช จนกระทั่งทำให้ไต้หวันเกิดความระหองระแหงกับแผ่นดินใหญ่หลายครั้ง และที่สำคัญก็คือทำให้ความสันพันธ์ของไต้หวันกับมิตรประเทศอย่างสหรัฐฯเริ่มกระท่อนกระแท่นขึ้นด้วย
ที่ผ่านมา พรรคก๊กมินตั๋งที่หม่าสังกัดอยู่นั้น คัดค้านแนวทางการประกาศเอกราชของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ของเฉินเสมอมา นอกจากนั้นยังมีคนในพรรคก๊กมินตั๋งไม่น้อยที่มีแนวคิดที่จะรวมชาติกับแผ่นดินใหญ่
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหม่าเองก็รักษาระยะห่างกับบุคคลในพรรคเหล่านี้เอาไว้เสมอ พร้อมรับประกันว่าในระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่งของตนนั้น แม้ตนสามารถอยู่ได้ 2 วาระจนถึงปีค.ศ. 2016 จะไม่มีการดำเนินการหรือเจรจาเพื่อรวมประเทศกับแผ่นดินใหญ่เป็นอันขาด โดยสัปดาห์ที่แล้วหม่าได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ในชั่วชีวิตของผม คงยากที่จะมีการเจรจารวมชาติของสองฟากฝั่งได้”
วิธีคิดในนโยบายสองฟากฝั่งของหม่าสอดคล้องกับความต้องการของชาวไต้หวันทั่วไป ที่ต้องการจะให้มีการสนับสนุนการทำการค้ากับจีน โดยที่ความสัมพันธ์นี้จะต้องไม่ใช่การรวมประเทศ เพราะแม้ว่ารัฐบาลปักกิ่งในปัจจุบัน จะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ในนาม ทว่าจีนยังคงเป็นประเทศยังไม่มีอิสระทางการเมืองที่มากพอ ซึ่งสิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่รับได้สำหรับชาวไต้หวันที่อยู่อย่างเสรีในระบอบประชาธิปไตยมาหลายสิบปี
และแม้ว่าในวันนี้ไต้หวันจะแยกตัวจากจีนมาเป็นเวลาถึง 59 ปี แต่จีนแผ่นดินใหญ่เองก็ยังประกาศอยู่เสมอว่า ไต้หวันถือเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน อีกทั้งยังข่มขู่อยู่เป็นระยะๆว่า หากวันใดที่ไต้หวันประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ จีนเองก็ไม่เสียดายที่จะใช้กำลังอาวุธกับไต้หวัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบในนโยบายสองฟากฝั่งของตน หม่า อิงจิ่วยังได้แต่งตั้งไล่ ซิ่งหยวน อดีตพันธมิตรของเฉิน สุยเปี่ยนมาเป็นประธานคณะกรรมการกิจการแผ่นดินใหญ่ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานสำคัญในการดำเนินนโยบายระหว่างจีนกับไต้หวัน โดยหม่าได้เน้นย้ำว่า เขาต้องการที่จะให้ความสัมพันธ์ของสองฟากฝั่งนั้น เป็นความเข้าใจร่วมในมุมที่กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ด้านนายหลิว เจ้าเสวียนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไต้หวันก็ได้เปิดเผยหลังรับตำแหน่งว่า ในขณะนี้การประสานงานระหว่างสองฟากฝั่งเป็นไปด้วยดี โครงการการบินตรงเหมาลำนั้นเชื่อว่าจะสามารถลุล่วงได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมหารือเพื่อเปิดสนามบิน 8 แห่งอย่างสนามบินซงซัน สนามบินเถาหยวนในไทเปา สนามบินชิงเฉวียนกั่งในไถจง สนามบินเสียวกั่ง สนมบินฮัวเหลียน สนามบินไถตง สนมบินหม่ากงในเกาสง และสนามบินจินเหมินสำหรับการบินตรงกับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนโยบายบายการบินตรงกับแผ่นดินใหญ่นี้ ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญในขณะหาเสียงของหม่า อิงจิ่วทีเดียว
“อาเปี่ยน” เตรียมถูกดำเนินคดี
อัยการสูงสุดของไต้หวัน นายเฉิน ชงหมิงได้เปิดเผยว่า ทางสำนักงานได้ตั้งทีมงานเพื่อตรวจสอบคดี “งบพิเศษ” เอาไว้ และหลังจากที่เฉิน สุยเปี่ยนลงจากตำแหน่ง ก็จะมีการแจ้งข้อหากับเฉิน ซึ่งการเรียกตัวในครั้งต่อไป เท่ากับ “เฉิน” ต้องตกอยู่ในฐานะจำเลยของคดี
ส่วนกรณีที่จะมีการสั่งห้ามไม่ให้เฉินออกนอกประเทศหรือไม่นั้น ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการประชุมเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวมาก่อนแล้ว เนื่องจากมีกระแสข่าวไปทั่วว่าหลังจากที่เฉินลงจากตำแหน่ง ก็จะหลบหนีไปยังต่างประเทศ ซึ่งหลังจากการประชุมแล้ว ก็มีมติว่า จะยังรอให้มีเรื่องราวที่ชี้ชัด หรือหลักฐานที่ระบุว่าเฉินมีเจตนาจะหลบหนีไปต่างประเทศก่อน ค่อยมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ โดยในขณะนี้ได้มีการขอร้องไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องว่าหากพบเบาะแสเมื่อไหร่ให้รายงานทันที