โจวไห่เม่ย (周海媚) เคยเป็นดาราสาวที่โด่งดังมากเมื่อหลาย 10 ปีก่อน ปัจจุบันเธออายุย่างเข้าปีที่ 41 แล้วแต่ว่าก็ยังคงความสวยไว้ไม่สร่าง
โจวไห่เม่ย หรือ Kathy Chau เกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.1966 เธอเริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการประกวดนางงามฮ่องกงในปี 1985 ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง บวกกับหน้าตามที่สวยหวาน ทำให้โจวไห่เม่ย เข้าสู่รอบ 30 คนสุดท้ายอย่างง่ายดาย แต่ด้วยความที่เธออายุแค่ 18 ปีในตอนนั้น จึงยังไร้เดียงสา ตอบคำถามไม่โดนใจกรรมการ จึงทำให้ชวดมงกุฎนางงามในปีนั้น
อย่างไรก็ตาม มีข่าวอีกกระแสหนึ่งที่ระบุว่า สถานีโทรทัศน์ทีวีบีได้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับโจวไห่เม่ยแล้ว และเพราะกลัวว่าโจวไห่เม่ย ได้รางวัลแล้วจะเล่นตัว จึงได้แอบวางแผนเด็ดมงกุฎนางงามในครั้งนี้
หลังจากที่โจวไห่เม่ย ได้เข้าอบรมคอร์สการแสดงของทีวีบีแล้ว ในปีเดียวกันเธอก็มีโอกาสได้ถ่ายทำละครเรื่องแรกในชีวิต “ขุนศึกตระกูลหยาง” รับบทเป็น “หยางจิ่วเม่ย” แต่เรื่องที่ถือได้ว่าแจ้งเกิดให้แก่เธอบนเส้นทางบันเทิงอย่างแท้จริงก็คือเรื่อง “The Feud of Two Brothers” เมื่อปี 1986 ที่แสดงกับ วั่นจือเหลียง และเจิ้งอี้ว์หลิง ด้วยความโด่งดังจากเรื่องนี้เองส่งให้เธอขึ้นแท่นนางเอกดาวรุ่งของทีวีบี
งานละครของโจวไห่เม่ยมีให้เห็นไม่ขาด อย่างเรื่อง "ชื่อเจี่ยวเซินซื่อ" 《赤脚绅士》 ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนางเอกยอดเยี่ยมของทีวีบีประจำปีนั้น และชื่อเสียงของเธอดังเปรี้ยงสุดๆ เมื่อตอนที่เล่นเรื่อง “คู่แค้นสายโลหิต” ในปี 1989 กับหวงยื่อหัว และ เวินเจ้าหลุน ซึ่งทำเรทติ้งสูงทำลายสถิติละครในฮ่องกง และยังได้รับความนิยมจากผู้ชมทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในไทยก็ดังเอามากๆ ในระหว่างที่ถ่ายทำละครเรื่องนี้เอง มีข่าวว่า โจวไห่เม่ย ได้สาบานเป็นพี่น้องกับ หวงยื่อหัว และ เวินเจ้าหลุนด้วย เนื่องจาก โจวไห่เม่ย เคารพพี่ใหญ่ หวงยื่อหัว อย่างมาก เวลาที่พบกับเรื่องยุ่งยากลำบากใจก็จะโทรศัพท์ไปปรึกษาเขา
ด้าน หลิวเจียหลิง ที่แสดงเป็นนางเอกของเรื่อง หลังจากถ่ายทำจบก็ตัดสินใจไปบุกเบิกวงการจอเงินแทน ทำให้โจวไห่เม่ย ได้เลื่อนขั้นเป็นนางเอกคิวทองของทีวีบีอย่างเต็มภาคภูมิ ส่วนหวงยื่อหัว ที่เคยโด่งดังจากบทบาท “ก๊วยเจ๋ง” ในมังกรหยก ก็ถือว่ากลับมาทวงชื่อเสียงได้อย่างสง่างาม
ต่อมาในปี 1990 โจวไห่เม่ย ร่วมแสดงในละครฟอร์มยักษ์ของทีวีบีเรื่อง “เซี่ยวอ้าวจ้ายหมิงเทียน” 《笑傲在明天》 ปีต่อมาตอกย้ำกระแสความดังกับละครเรื่อง "เพื่อนรักเพื่อนแค้น" โดยเรื่องนี้เธอได้ร่วมแสดงกับ หลีหมิง เวินเจ้าหลุน และ เส้าเหม่ยฉี ตามด้วยละครฟอร์มยักษ์เรื่อง “ฤทธิ์กระบี่ฟ้าคำรณ” คู่กับ กวนหลี่เจี๋ย โดยในช่วงตั้งแต่ปี 1990-1993 เธอได้รับการโหวตจากแฟนละครให้เป็นดาราสาวยอดนิยมของฮ่องกงติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ถือเป็นช่วงที่รุ่งที่สุดของสาวคนนี้ก็ว่าได้ และในช่วงนี้เองเธอก็มีข่าวว่ากุ๊กกิ๊กอยู่กับหลีหมิงด้วย
ในปี 1992 ฉีเคอะ ผู้กำกับชื่อดังเตรียมเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง “ตงฟางปู้ป้าย” และคิดจะทาบทามโจวไห่เม่ยมาร่วมแสดง แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นโจวไห่เม่ยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียก่อนจึงไม่ได้ร่วมงานกัน อย่างไรก็ตาม ปีเดียวกันทางสถานีโทรทัศน์ฟากไต้หวันเตรียมฉลองครบรอบก่อตั้งสถานี จึงได้ให้ผู้กำกับมือทอง “หยางเพ่ยเพ่ย” รับหน้าที่กำกับละครฟอร์มยักษ์เรื่อง “ม่อไต้หวงซุน” และได้ทาบทาม โจวไห่เม่ย และ หวงยื่อหัว มาประกบคู่กัน ซึ่งเรทติ้งก็สูงมากในไต้หวัน ทำให้โจวไห่เม่ยได้รับการโหวตให้เป็นสาวในฝันของชาวไต้หวัน
หลังจากคลุกคลีวงการจอแก้วอยู่นาน ในที่สุดโจวไห่เม่ยก็ได้โอกาสมารับงานภาพยนตร์บ้าง แต่แม้ว่าจะแสดงหนังอยู่หลายเรื่องก็ตาม แต่ฟิตแบคก็งั้นๆ ไม่หวือหวาอย่างที่คิด อย่างไรก็ตามการที่โจวไห่เม่ยพลิกบทบาทมาเล่นร้ายในภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่อง "Fight Back To School 3" ในปี 1993 ก็สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ชมมิใช่น้อย ซึ่งจากเรื่องนี้เอง ก็ทำให้โจวไห่เม่ยมีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงคาแรคเตอร์ ในผลงานเรื่องต่อๆ มา
ที่โดดเด่นสุดๆ เห็นจะเป็นการมารับบท “โจวจื่อรั่ว” ในละครฟอร์มยักษ์ของไต้หวันเรื่อง “กระบี่ฟ้าดาบมังกร” ในปี 1993 ทำให้ชื่อเสียงของโจวไห่เม่ยกลับมาโด่งดังอีกครั้ง
ปี 1995 โจวไห่เม่ย เริ่มกระโดดเข้ามาชิมลางงานเพลง โดยได้หวงกั๋วหลุน โปรดิวเซอร์ชื่อดังของไต้หวันมาทำอัลบั้มเพลงจีนกลางชุดแรกในชีวิตให้กับเธอ ชื่อว่า "ยื่อชูอ้ายฉิง" (日出爱情) นับเป็นการแจ้งเกิดในวงการเพลงที่สวยงามทีเดียว เพราะนอกจากขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเอาชนะอัลบั้มของอดีตจตุรเทพหนุ่ม จางเสียว์โหย่ว และ เฉินซูหัว ราชินีเพลงไต้หวันไปได้แล้ว เพลงโปรโมทที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้มก็ขึ้น ท็อบชาร์จ ด้วย
แต่ก็เป็นเพราะว่าออกอัลบั้มเพลงนี่เอง ที่ทำให้โจวไห่เม่ยผิดใจกับหยางเพ่ยเพ่ย ซึ่งเดิมทีกะวางตัวให้สาวเจ้ารับบทนำใน “ซินหลงเหมินเค่อจั้น” 《新龙门客栈》 ก็เปลี่ยนให้เฉินหงแสดงแทน และก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ในช่วงที่เธอกำลังไปได้สวยกับงานเพลงนั้น ค่ายเพลง หัวซิง ที่เธอสังกัดอยู่ก็ดันมาประสบปัญหาจำต้องปิดตัวไป ทำให้งานเพลงเธอหยุดชะงัก ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับไปซบอกทีวีบีอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับโอกาสให้แสดงบทนางเอกอีก
ในปี 1996 โจวไห่เม่ยได้รับบทนำในละครเรื่อง “อาถรรพณ์รักวิญญาณสาว” แสดงคู่กับหลินเจียต้ง เรื่องนี้เองทั้งสองคนได้รับการโหวตให้เป็นคู่รักในจอยอดนิยมแห่งปี อีกทั้งโจวไห่เม่ยยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วย
คนจะดวงดีอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ในปี 1997 โจวไห่เม่ย ได้ถ่ายโฆษณามือถือกับมาซาโตชิ นางาเสะ ดาราภาพยนตร์ชื่อดังของญี่ปุ่น ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาดังกล่าวสร้างกระแสตอบรับดีมากๆ ตอนที่ฉายที่ญี่ปุ่น สถานีโทรทัศน์รับโทรศัพท์จากผู้ชมทางบ้านเยอะมาก ส่วนใหญ่โทรมาถามว่านางเอกโฆษณาเป็นใคร นี่จึงเป็นเหมือนใบเบิกทางให้โจวไห่เม่ยเข้าไปเจาะตลาดญี่ปุ่นต่อ
ที่นี่เธอได้เซ็นสัญญากับผู้จัดการส่วนตัวชาวญี่ปุ่น อีกทั้งมีการนำเข้าผลงานของเธอทั้งงานเพลง และมิวสิควิดีโอเข้ามาเผยแพร่ ขณะที่บริษัทมือถือก็ต่อสัญญากับเธอ และออกโฆษณาชุดที่ 2 และ 3 ตามออกมา แถมเธอยังได้ออกอัลบั้มภาพสุดหวือหวาและกลายเป็นดาราเซ็กซี่ไปในพริบตา รวมทั้งงานถ่ายแบบนิตยสารและโฆษณาต่างๆ นับว่าโจวไห่เม่ยโกยเงินเยนไปได้ไม่น้อยเลย
แต่มีได้ก็มีเสีย เพราะว่าเธอโฟกัสตลาดญี่ปุ่นมากเกินไป จนละเลยละครของทีวีบี ทำให้ในปี 1997 ทีวีบีตัดสินใจให้กัวอ่ายหมิงเป็นนางเอกเบอร์ 1 ในละครฟอร์มยักษ์เรื่อง “เทียนตี้หาวฉิง” 《天地豪情》 และลดทอนบทของโจวไห่เม่ยลง โดยให้เธอตายตอนที่ 40
ในปี 1998 โจวไห่เม่ยตัดสินใจตีจากทีวีบี ช่วงนั้นเธอรับงานภาพยนตร์ฮ่องกง 4 เรื่องและญี่ปุ่นอีก 1 เรื่อง อีกทั้งยังกลายเป็นพรีเซนเตอร์ชาวเอเชียคนแรกให้แก่นาฬิกายี่ห้อดัง EBEL (คนที่ 2 คือ จางมั่นอี้ว์) สื่อฮ่องกงและไต้หวันถึงขนาดยกให้เธอเป็น “ชาลอน สโตนแห่งเอเชีย”
ในปีเดียวกันโจวไห่เม่ยได้เซ็นสัญญาเล่นหลังเรื่อง “จงเหิงซื่อไห่” 《纵横四海》 ของสถานีโทรทัศน์เอทีวี แต่คิดไม่ถึงว่าถ่ายทำไปได้แค่กลางเรื่อง โจวไห่เม่ย ก็เกิดป่วยกะทันหันจนผู้กำกับต้องเขียนบทให้เธอเสียชีวิตในเรื่อง อย่างไรก็ตาม เรทติ้งของละครเรื่องนี้สูงลิ่ว ช่วยให้เอทีวีสามารถชนะทีวีบีได้ครั้งแรกในรอบ 10 ปี
สำหรับข่าวคราวอาการป่วยของโจวไห่เม่ยนั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนครั้งแรกในเว็บบล็อกของหยางกงหยู ดาราสาวที่ร่วมแสดงกับเธอในเรื่อง จงเหิงซื่อไห่ ด้วย เมื่อมีแฟนหนังของหยางกงหยูรายหนึ่ง เข้าไปโพสต์ในเว็บบล็อกว่า คุณแม่ของตนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus – SLE) ขณะที่หยังกงหยู โพสต์ตอบไปว่า เธอรู้สึกเห็นใจผู้ที่ป่วยโรคนี้มาก เพราะว่าเพื่อนร่วมงานของเธอคนหนึ่งก็ป่วยด้วยโรคดังกล่าว
“ฉันได้ยินชื่อโรคนี้ครั้งแรกในปี 98 ตอนนั้นฉันแสดงเรื่อง จงเหิงซื่อไห่ โจวไห่เม่ยเล่นเป็นพี่สาวของฉัน แต่จู่ๆ เธอก็ไม่มาทำงานอยู่พักหนึ่ง ต่อมาทุกคนถึงรู้ว่าเธอป่วยเป็นโรคเอสแอลอี จนสุดท้ายบทของเธอหลายตอนต้องให้คนอื่นแสดงแทน”
หลังจากนั้นมางานการของโจวไห่เม่ยก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาสุขภาพของเธอ หลังๆ มาเธอเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพตัวเองมากขึ้น หลังจากปี 2000 เป็นต้นมา โจวไห่เม่ยรับงานแสดงปีละ 1-2 เรื่องเท่านั้น และแทบจะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อและร่วมกิจกรรมบันเทิงเลย ช่วงเวลาที่ไม่แสดงละคร ก็จะอยู่บ้านต้นน้ำแกงกินฟังเพลง หรือไม่ก็ไปขึ้นเขากับเพื่อนๆ และไม่เที่ยวยุโรป ชีวิตที่มีสุขภาพดี และจิตใจที่ร่าเริงเบิกบาน ก็คือความลับอ่อนเยาว์ของเธอ
ปี 2005 โจวไห่เม่ยถ่ายทำเรื่อง “ป่าจิ่วเวิ่นชิงเทียน” 《把酒问青天》และ “ปาเจิ้นถู”《八阵图》ในแผ่นดินใหญ่ ขณะเดียวกันก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทเอเย่นในแผ่นดินใหญ่ด้วย ปี 2006 โจวไห่เม่ยเริ่มออกโทรทัศน์ของแผ่นดินใหญ่บ่อยขึ้น และได้แสดงภาพยนตร์รวมทั้งละครหลายเรื่อง จนกระทั่วถึงตอนนี้เธอก็ยังคงทำงานในวงการบันเทิงอยู่
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้โจวไห่เม่ยได้ออกมาเปิดใจกับนักข่าวท้องถิ่นถึงข่าวลือต่างๆ พร้อมยอมรับว่า เธอเคยแอบไปแต่งงานที่สหรัฐฯ กับหลี่เหลียงเหว่ยจริง
โจวไห่เม่ยปรากฏตัวให้สัมภาษณ์ด้วยหน้าตาที่สดชื่นไม่เหมือนกับคนที่เป็นโรคร้ายเลย สำหรับข่าวลือเรื่องสุขภาพร่างกายของตนเอง โจวไห่เม่ยกล่าวว่า “ที่ผ่านมาฉันสุขภาพแข็งแรงดี แค่บางครั้งผิวหนังเกิดอาการแพ้ ทำให้มีจุดแดงๆ ขึ้น"
นอกจากข่าวลือเรื่องอุดมไปด้วยโรคภัยของเธอแล้ว ล่าสุดยังถูกปาปารัซซี่แอบถ่ายขณะกำลังดื่มกาแฟกับชายหนุ่มที่หน้าตาละม้ายคล้ายหลีหมิง ดารานักร้องชื่อดัง ที่เคยเป็นข่าวกับเธอด้วย
“ฉันไปดื่มกาแฟกับเพื่อน คุณจะเอาไปเขียนว่าฉันไปกับแฟน ฉันก็หมดปัญญาแล้ว แต่ฉันก็คงไม่เข็ดขยาดการไปดื่มกาแฟเพราะเรื่องนี้หรอก”
สำหรับเรื่องราวความรักของเธอแล้ว มีน้อยคนนักที่รู้ว่า โจวไห่เม่ยและหลี่เหลียงเหว่ยเคยแต่งงานอยู่กินกันในระยะเวลาอันสั้นมาก่อน
ปี 1989 เพราะเกรงว่าข่าวการแต่งงานจะลดความนิยมของแฟนๆ ลง โจวไห่เม่ยและหลี่เหลียงเหว่ยจึงตัดสินใจไปแต่งงานกันอย่างลับๆ ที่สหรัฐฯ ในตอนนั้นโจวไห่เม่ยเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของทีวีบี “ฉันไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักและการแต่งงานเลย พอมีชายหนุ่มอย่างหลี่เหลียงเหว่ยมาขอแต่งงาน มีหรือจะไม่ตอบตกลงไป” แต่ชีวิตรักก็ไม่ได้ชั่วฟ้าดินสลายอย่างที่คิด เพราะนิสัยเข้ากันไม่ได้ จึงต้องแยกทางกันไปในที่สุด พร้อมกันนี้เธอยังได้เปิดเผยว่าตอนนี้กำลังคบหาดูใจกับหนุ่มนอกวงการอยู่ แต่ยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน เพราะยังอยากทำงานอยู่