หนังสือพิมพ์สากล – หม่า อิงจิ่วได้เปิดเผยว่าหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน จะรีบเดินหน้านโยบายการบินตรงเหมาลำกับแผ่นดินใหญ่ตามที่ได้ประกาศไว้ พร้อมเล็งเปิดกว้างการแลกเปลี่ยนเงินหยวน และการลงทุนของนักธุรกิจมังกรกับไต้หวัน อีกทั้งเพิ่มการลงทุนภาครัฐเพื่อผลักดันเศรษฐกิจไต้หวันที่กำลังซบเซาให้โตได้ 5%
หม่า อิงจิ่วผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน และเตรียมขึ้นสู่บัลลังก์ในวันที่ 20 พ.ค. ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า หลังจากขึ้นรับตำแหน่ง จะเร่งผลักดันนโยบายการบินตรงเหมาลำระหว่างจีนกับไต้หวันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งจะพยายามให้สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนก.ค.ปีนี้ ถัดจากนั้นก็จะเดินหน้าเพื่อให้มีการบินตรงเหมาลำในทุกวัน
การให้สัมภาษณ์ในกรณีดังกล่าว เป็นไปตามที่ก่อนหน้านี้หม่าได้เคยประกาศนโยบายเรื่องการบินระหว่างสองฟากฝั่งในขณะหาเสียงที่ว่าภายใน 3 เดือนจะผลักดันให้มีการบินตรงแบบเหมาลำเพิ่มจากช่วงเทศกาลตรุษจีนหรือเช็งเม้งมาเป็นทุกปลายสัปดาห์ และภายในครึ่งปี จะทำให้มีการเหมาลำบินในวันธรรมดาแต่ละวันด้วย
“หลังจากที่ทั้งสองฟากฝั่งสามารถบินตรงถึงกันได้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นทันทีคือเรื่องของการแลกเปลี่ยนเงิน (เหรินหมินปี้) ซึ่งทางผู้ว่าการธนาคารกลางก็ได้เสนอมานานแล้ว (ว่าให้เปิดแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับเงินไต้หวัน) เมื่อผมรับตำแหน่งเมื่อไหร่ ก็จะรีบดำเนินการในเรื่องนี้” หม่าระบุ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนต.ค. ปีค.ศ. 2005 เป็นต้นมา ไต้หวันได้เคยทดลองให้บริการการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินดอลลาร์ไต้หวันกับเงินสกุลเหรินหมินปี้ของแผ่นดินใหญ่ ทว่ามีการจำกัดไว้แค่ในเกาะที่ห่างไกลอย่างเกาะจินเหมิน (คีมอย) และหมาจู่ (มัตสุ) เท่านั้น อีกทั้งยังมีการกำหนดให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางสามารถพกพาเงินหยวนของจีนเข้าออกประเทศได้ไม่เกินครั้งละ 20,000 หยวน (ราว 90,000 บาท)
นอกจากนั้น หม่า อิงจิ่วยังได้ตอบคำถามที่เกี่ยวกับความคาดหวังของนักธุรกิจ ที่อยากให้มีการยกเลิกการจำกัดการลงทุนระหว่างสองฟากฝั่ง โดยหม่าได้ระบุว่า เรื่องการจำกัดนักลงทุนไต้หวันไปลงทุนยังประเทศจีนนั้น จะมีการทยอยเปิดกว้างมากขึ้น อย่างเช่นวิสาหกิจที่มีสำนักงานใหญ่ในไต้หวัน อาจจะเปิดกว้างให้สามารถไปลงทุนในประเทศจีนโดยไม่จำกัดวงเงินลงทุน ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องข้อจำกัดทั้งหลายกันอีกครั้ง
“นโยบายการบินแบบเหมาลำ การบินตรง การที่ให้นักท่องเที่ยวจากจีนมาถึง การเปิดกว้างการแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับเงินไต้หวันแบบรอบด้าน และการทยอยเปิดกว้างข้อจำกัดให้นักธุรกิจไต้หวันสามารถไปลงทุนในแผ่นดินใหญ่ จะพยายามผลักดันให้สำเร็จภายในปีนี้” หม่าระบุ
การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกสำหรับการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ หลังจากได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 22 มี.ค.เป็นต้นมา โดยหม่ายังได้เน้นย้ำว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งแล้ว จะรีบเร่งผลักดันเรื่องงบประมาณใหม่ในปี 2008 เพื่อยกระดับการลงทุนจากภาครัฐ อีกทั้งผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในแต่ละปีไม่ให้ต่ำกว่า 5% เพื่อเป็นการกระตุ้นอุปสงค์ภายใน
หม่า อิงจิ่วยังได้แสดงความยินดีที่จะให้นักลงทุนจากแผ่นดินใหญ่ มาลงทุนในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการมาเปิดบริษัทใหม่ หรือการมาลงทุนในโรงงาน โดยเน้นย้ำว่า ในปัญหาเรื่องการลงทุนนั้น เราจะต้องใช้ท่าทีที่เปิดกว้าง
“เมื่อมีการดำเนินการไปพร้อมๆกันทั้งในด้านของการเปิดกว้าง และการขยายนโยบายการคลัง จะสามารถช่วยให้ไต้หวันมีศักยภาพเพียงพอต่อการรับมือกับผลสะท้อนอันท้าทายจากวิกฤติซับไพรม์ของสหรัฐฯ คาดว่าในปีนี้ เศรษฐกิจไต้หวันจะเติบโตอย่างน้อย 5% และเชื่อว่าในปีหน้าจะสามารถไปถึงเป้าหมายที่ 6% ได้”
ทั้งนี้ หลังจากที่ไต้หวันเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติซับไพรม์ ทำให้ทางการไต้หวันต้องออกมาประกาศปรับลดตัวเลขของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เหลือ 4.32% ในขณะที่นักวิเคราะห์ได้มองว่าอาจจะย่ำแย่ไปเหลือเพียง 2.75% เท่านั้น ทว่าหม่าได้แสดงความมั่นใจว่า จะอาศัยการเปิดกว้างกับจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้นและเพิ่มการลงทุนสาธารณะมาเป็นเครื่องมือในการต่อกรกับปัญหาเศรษฐกิจจากต่างประเทศได้