xs
xsm
sm
md
lg

“ดูตัวหาคู่” ใครคิดว่าเลวร้าย?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ซีน่าเน็ต – “การดูตัว” หมายถึงการอาศัยคนกลางในการแนะนำ ให้คนสองคนที่เป็นคนต่างเพศกันได้มีโอกาสพบปะ และพิจารณาดูซึ่งกันและกัน ซึ่งแต่เดิมมักถูกใช้กับหนุ่มสาวที่เริ่มมีอายุมากขึ้น ทว่าจากผลการสำรวจล่าสุดต่อนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวน 1,279 คน ในหัวข้อที่ว่า “หากให้คุณไปดูตัว คุณจะทำอย่างไร?” พบว่ามีคนที่ยินดีไปดูตัวถึง 48.88% คนที่บอกว่าไปก็ได้ 19.33% คนที่บอกว่าแล้วแต่สถานการณ์ 23.39% คนที่รับไม่ได้ 6.73% และคนที่ตัดสินใจไม่ถูก 1.67%

การที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเริ่มยอมรับการดูตัวมากขึ้น ส่วนสำคัญย่อมมาจากการผลักดันของผู้ปกครองในบ้าน เพราะมีผู้ปกครองไม่น้อยที่รู้สึกว่าหากในขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย ไม่สามารถกำหนดเรื่องการแต่งงานได้ วันหน้าเมื่ออายุมากขึ้นจะยิ่งหาคู่ได้ยาก ด้วยคำอธิบายเช่นนี้ทำให้ลูกหลานที่อยู่ในวัยกำลังศึกษาเล่าเรียนยอมรับการแนะนำให้ไปดูตัว ซ้ำหลายคู่ก็สามารถประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี อีกทั้งจากการรู้ข้อมูลพื้นฐานของกันและกันล่วงหน้าเช่นนี้ หากสามารถพัฒนาเป็นความรักได้ ก็มักจะค่อนข้างมั่นคงและลงเอยด้วยการแต่งงานได้ง่าย

นอกจากนั้น การดูตัวยังช่วยเพิ่มความสะดวกให้คนที่คิดหาคู่หลายๆคน อย่างเช่นนักศึกษาที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยคนหนึ่งได้เล่าว่า “ในช่วงเดินทางไปทำงาน หรือกลับจากที่ทำงาน วันๆก็แสนจะเหนื่อย พอผ่านรถไฟฟ้าก็ไม่มีใครสนใจที่จะใส่ใจคนอื่นเป็นพิเศษ อย่างนี้จะเกิดรักแรกพบได้อย่างไร? หลายครั้งที่ผมใช้รถไฟฟ้า ที่จริงก็เจอผู้หญิงที่อายุอยู่ในเกณฑ์ใกล้ๆกันที่ดูแล้วถูกใจ แต่ก็ไม่รู้จะหาทางไปรู้จักยังไงดี” ดังนั้นการมีคนช่วยแนะนำให้อันที่จริงก็เพิ่มความสะดวกให้ได้ไม่น้อย

“ดูตัว” ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

กั๋วกั่ว นักศึกษาสาวที่มาเรียนต่อหลักสูตรปริญญาโทในปักกิ่งได้เล่าว่า พ่อแม่ของฉันได้เคยฝากฝังลูกพี่ลูกน้องกับพี่สะใภ้ให้ช่วยแนะนำคนดีๆให้มาเป็นแฟน ดังนั้นตั้งแต่ฉันเข้าไปปักกิ่งวันแรก พวกเขาก็พูดว่าจะช่วยหาแฟนให้ แล้วก็ชวนคุยเรื่องนี้บ่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมขึ้นมา ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก

พอขึ้นปีที่ 2 ก็จะมีวิชาเรียนที่ยากขึ้น ต้องทำวิทยานิพนธ์ แล้วก็ยังต้องฝึกงาน ทำให้ฉันยุ่งไปหมด ไปบ้านของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ก็น้อยลง ซึ่งในเวลานั้นฉันเองก็มีแฟนที่คบๆกันอยู่ กระทั่งบ่ายวันหนึ่ง พี่สะใภ้ฉันส่งเอสเอ็มเอสมาว่า “จะแนะนำหนุ่มให้คนหนึ่ง เขาชื่อข่าย เหวิน ทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ แล้วเดี๋ยวเขาจะติดต่อไปนะ”
ตอนนั้นฉันได้แต่อึ้งไม่รู้ว่าจะทำยังไง จะปฏิเสธก็ลำบาก เพราะว่าคนแนะนำก็เป็นญาติกัน คืนนั้น ข่าย เหวินก็ส่งข้อความมาบอกว่า “ผมลังเลอยู่นาน ถึงส่งเอสเอ็มเอสมาหา ผมคิดว่าคุณก็คงตื่นเต้น ผมเองก็อายๆ รู้สึกเหมือนเปิดหน้าต่างออกไป แต่ไม่รู้ว่าทิวทัศน์ด้านนอกจะเป็นแบบไหน?”

ตอนนั้นฉันแกล้งรออยู่สักพักใหญ่ ค่อยส่งข้อความตอบกลับไป จากนั้นข่าย เหวินก็ส่งข้อความมาให้ติดต่อกันหลายวัน ในที่สุดก็ถามว่าฉันจะว่างเมื่อไหร่ ตอนนั้นใจฉันก็เต้นแรงขึ้นมา คิดว่ายังไงสักวันก็ต้องเจอ ก็รีบเจอให้จบๆไปดีกว่า

ช่วงเวลานั้นฉันไปฝึกงานที่บริษัทหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง จึงบอกกับข่าย เหวินว่าสนใจอยากจะขอสัมภาษณ์เขา ซึ่งเขาก็เตรียมตัวมาอย่างดี ตั้งแต่ต้นจบจบก็ยังตอบประเด็นที่ฉันสัมภาษณ์อย่างจริงจัง ซึ่งหลังจากนั้นพอดีฉันต้องกลับเข้าประชุม เขากลัวฉันจะสายก็เลยให้ฉันกลับไป

หลังจากนั้นหลายวัน พี่สะใภ้ก็โทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันก็ตอบว่า เขาดูเป็นคนดี เพียงแต่ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ คงต้องใช้เวลารู้จักกันมากกว่านี้ ทำให้รู้สึกว่าถึงจะไม่ได้ลงเอยอะไร แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่ดี ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่เคยคิด

ดูตัวเหมือนได้ลาภก้อนใหญ่

เสี่ยวชุ่ย เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยผ่านประสบการณ์การดูตัว เธอเล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งที่มีคนรู้จักโทรมาบอกว่าจะแนะนำคู่ให้ พร้อมสาธยายว่าเขาชื่ออาเฉียง ทำงานอยู่ที่ปักกิ่ง มีฐานะทางบ้านไม่เลว มนุษย์สัมพันธ์ก็ดี ตอนนั้นเสี่ยวชุ่ยรู้สึกลังเล จึงบอกว่าเอาไว้ค่อยว่ากันดีกว่า

อันที่จริงใครๆในจีนก็รู้ดีว่า ในสถานศึกษา หรือมหาวิทยาลัย มักมีสัดส่วนของผู้ชายกับผู้หญิงที่ไม่สมดุลกัน อย่างเช่นในโรงเรียนเทคนิคฯจะมีผู้หญิงน้อย หรือที่เรียนคุรุศาสตร์อย่างฉันก็จะมีผู้ชายน้อย ทำให้ตัวเลือกคนที่จะมาเป็นคู่ครองอยู่ในวงจำกัด

พอบ่ายอีกวันหนึ่ง อาเฉียงก็โทรมาหาฉัน บอกว่าตอนนี้อยู่แถวๆมหาวิทยาลัย แล้วถามว่าฉันว่างไหม? ฉันรีบบอกว่าติดธุระเดี๋ยวค่อยติดต่อกลับไป จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่หอพักของรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อให้เขาช่วยแต่งหน้าให้ ฉันคิดเองว่า ควรจะให้มีความประทับใจที่ดีในการเจอกันครั้งแรก จากนั้นฉันก็ติดต่อไปว่าอีก 2 ชั่วโมงไปเจอกันที่แมคโดนัลด์

หลังจากกลับมา ฉันเล่าให้รุ่นพี่ฟังว่า ตอนที่ไป “ดูตัว” หัวใจฉันเต้นเป็นกลองรัวอยู่ตลอด แถมเขายังเป็นสไตล์ที่ฉันชอบไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่สูงโปร่ง ทรงผม หรือการแต่งกายก็ถูกใจอยู่ไม่น้อย

คืนนั้นอาเฉียงส่งเอสเอ็มเอสมา บอกว่าวันนี้รู้สึกมีความสุขมาก อยากจะคบหากับฉันต่อไป ฉันเลยแกล้งแซวเขาไปว่า หมายความว่า “ซื้อขายไม่สำเร็จ แต่น้ำใจยังอยู่เหรอ?” เขาตอบฉันว่า “ซื้อขายสำเร็จไหม ผมให้คุณเป็นคนตัดสิน” เล่นเอาฉันหน้าแดงไปหมดเลย

ตั้งแต่นั้นมา เราก็นัดเจอกันบ่อยๆ นานวันเข้าก็เลยเริ่มเข้าใจและถูกใจกันมากยิ่งขึ้น ในวันวาเลนไทน์ เขายังเอาดอกกุหลาบช่อใหญ่มาให้ฉันที่หอพักด้วย เล่นเอาใครๆเลยรู้เรื่องของเราไปหมดเลย

ดูตัวโดยมีเป้าหมายที่ “แต่งงาน”

อี๋หรัน เป็นสาวชนบทที่เข้าไปศึกษาต่อในเมือง โดยที่เธอเล่าว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าคุณพ่อคุณแม่อยากจะให้เธอเรียนจบแล้วกลับไปอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด โดยมักจะเน้นย้ำเสมอว่า มีความรักในวัยเรียนก็มีได้ แต่อย่าไปจริงจังนัก

พอฉันกลับบ้านในช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาว คุณพ่อคุณแม่ก็เข้ามาคุยกับฉันว่าอยากจะให้ไปดูตัว บอกว่าฝ่ายชายเขาชื่อโจว เทียน และพ่อแม่ของเขาเป็นเพื่อนกันกับคุณพ่อคุณแม่ฉัน ซึ่งตามกฎดั้งเดิมของแถวบ้านเรา การดูตัวครั้งแรกครอบครัวของฝ่ายหญิงทุกคนจะต้องไปกินข้าวที่บ้านฝ่ายชาย คุณแม่ฉันให้ความสำคัญมาก ถึงกับพาฉันไปชอปปิ้งเพื่อเลือกหาชุดใหม่ๆที่จะใส่ไปในงานดูตัว

พอไปถึงที่บ้านฝ่ายชาย ฉันรู้สึกทั้งอายแล้วก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็เลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าว แล้วก็รู้แค่ว่า เขาคนนั้นแอบอมยิ้มอยู่ เหลือบมองไปหน้าตาเขาก็ดูดี แม่ของเขาก็ดูร่าเริงเป็นกันเอง ซ้ำยังได้ยินว่าเขาไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้รังเกียจ

คืนนั้น โจว เทียนส่งเอสเอ็มเอสมาบอกว่ารู้สึกดีกับฉันมาก เห็นอย่างนั้นฉันเองก็ดีใจ ตั้งแต่นั้นมาเราก็เริ่มโทรคุยกัน หรือคุยกันทางอินเทอร์เน็ต ช่วงปิดเทอมก็นัดกันไปเที่ยว พอกลับมาเรียน ฉันก็เล่าให้เพื่อนๆฟังว่า การที่ไปดูตัว หรือคบหากันโดยมี “การแต่งงาน” เป็นเป้าหมาย มันให้ความรู้สึกที่ดีนะ รู้สึกว่าแบบนี้เป็นการคบหาที่ไม่เพ้อฝันล่องลอย

“อยากให้การมีความรักของแต่ละคน ต่างมีเป้าหมายอยู่ที่การแต่งงาน ไม่ใช่การสนุกไปวันๆ บางทีโอกาสการไปดูตัวแบบนี้อาจจะไม่เจออะไรเลย แต่บางทีพรหมลิขิตของสวรรค์ก็อาจนำพาใครที่เรากำลังรอคอยอยู่มาให้ก็ได้”อี๋หรันระบุ

กำลังโหลดความคิดเห็น