ตั้งแต่เรารู้จักกับชื่อของ “หมู อายแวร์” เราก็คุ้นกับทรงผมหน้าม้าเต่อของเธอ ที่ขับให้แว่นตาที่เธอออกแบบดูโดดเด่นไม่แพ้ทรงผม! หรือถ้าบางคนไม่คุ้นกับชื่อของ “หมู อายแวร์” เพราะระยะหลังๆ แว่นตาที่เธอออกแบบนั้นค่อนข้างจะเป็นงานเฉพาะบุคคลและเป็นแรร์ไอเท็มไปซะแล้ว ก็ขอเกริ่นอธิบายตรงนี้ว่า “หมู อายแวร์” หรือ “หมู-จุฬาลักษณ์ ปิยะสมบัติกุล” เธอเป็นผู้ปลุกกระแสแฟชั่นแว่นตาแฮนด์เมด ที่ยุคหนึ่งคนดังระดับฮอลลีวู้ด ต้องใส่แว่นตาของเธอเฉิดฉายไปทุกที่...ถือได้ว่าเป็นแอคเซสเซอรีระดับโลก
แม้ว่าในวันนี้ “หมู จุฬาลักษณ์” จะบอกกับเราว่า อาจจะโฟกัสกับงานแบรนด์แว่นตาน้อยลง เพราะมาช่วยธุรกิจของครอบครัว อย่าง ปิยะสมบัติ กรุ๊ป ซึ่งดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และไม้แปรรูปอย่างเต็มตัว แต่ก็ไม่ทิ้งงานแว่นตาแบรนด์ “Moo Eyewear” ของเธอ เพราะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกแบบ ลงมือทำแว่นตา
“ตอนนี้โฟกัสธุรกิจของครอบครัว ต้องมาเรียนรู้ใหม่ ซึ่งต้องทุ่มเทเยอะเหมือนกัน หมูดูเรื่องการขายและภาพรวมด้านต่างๆ ส่วนน้องๆ ก็ช่วยกันดูเรื่องการผลิต แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีเรื่องโควิดแต่ก็ยังไปได้เพราะยังมีส่งออก แต่ก็มีปัญหาบ้าง อย่างเรื่องการล่าช้าของคอนเทนเนอร์ ก็อาจจะมีอุปสรรคนิดหน่อย ซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่เจออุปสรรคตรงนี้
สำหรับ “Moo Eyewear” ตอนนี้เป็นงาน Made to order หมูไม่ได้ทิ้งไปเลย เพียงแต่เราไม่ต้องโปรโมทอะไรเยอะแล้ว ลูกค้ายังเป็นต่างประเทศ มีหลายกลุ่มอาชีพ ทั้งดีไซเนอร์ สถาปนิก ส่วนใหญ่เป็นคนที่ชอบในงานอาร์ต งานดีไซน์จริงๆ ก็จะมาชอบงานของหมู เพราะเราเป็นแนวคลาสสิกวินเทจ งานแว่นเป็นงานที่ยังชอบอยู่ ทำเมื่อไหร่ก็แฮปปี้”
ไม่ใช่แค่เรื่องความโดดเด่นของแว่นตาที่เธอออกแบบเท่านั้น แต่ความโดดเด่นในเรื่องสไตล์การแต่งตัวของเธอ ก็ยังโดนใจแฟชั่นนิสต้าหลายๆ คน เพราะทุกวันนี้เธอแทบจะเป็นแฟชั่นไอคอนคนหนึ่งแล้ว เพราะทุกงานแฟชั่นก็ต้องมีเธอไปร่วมงาน หากให้นิยามสไตล์การแต่งตัวของเธอ เธอก็อธิบายไม่ถูกเพียงแต่รู้สึกว่านี่คือสไตล์ที่เธอชอบ และสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสุดก็คือ "หมูไม่มินิมอล" เพราะเธอชอบความสดใส ชอบแสดงความเป็นตัวเอง
“หมูชอบของสวยงามอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ ชอบระบายสี ชอบจับคู่สี พอเริ่มโตออกไปเที่ยวกับเพื่อน ก็เริ่มรู้สึกตัวว่าเราชอบแฟชั่นตั้งแต่สมัยไฮสกูล ความชอบก็เปลี่ยนไปตามอายุ กว่าจะหาสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ เจอและนิ่งกับตรงนี้ ก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกัน
อย่างช่วงไฮสกูลที่เริ่มชอบแฟชั่น ก็จะชอบแอคเซสซอรีเยอะๆ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าไม่เท่าไหร่ ตามเทรนด์แฟชั่นบ้าง หลังๆ เวลาเดินทางก็ค้นพบว่าใส่เสื้อเชิ้ตก็สบายดี เสื้อเชิ้ตธรรมดา แต่เน้นเครื่องประดับ ความชอบเรื่องแฟชั่นมีหลายช่วงเวลามาก ค้นหาแบบที่เราชอบไปเรื่อย ของที่เป็นตัวตนเราก็จะค่อยๆ มา
หมูไม่ได้เป็นคนที่แฟชั่นอะไรมากมาย แต่รู้ว่าใส่อะไรแล้วเรามั่นใจ อาจจะเป็นเพราะหมูชอบแต่งตัว แต่งตัวออกมาแล้วสนุก ไม่เคยคิดว่าสไตล์เราเป็นอย่างไร แค่ตื่นมาแล้วรู้สึกอย่างไร จะไปไหน ก็แต่งตัวตามความร็สึกนั้น โชคดีที่ในตู้เสื้อผ้ามีเยอะมาก เลือกได้ว่าอยากจะใส่อะไร บางทีของที่ซื้อมาเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็ยังหยิบมาใส่ ไซส์แทบจะไม่เปลี่ยน เพราะเสื้อผ้าที่ซื้อมาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นแบบที่พอดีตัวมากอยู่แล้ว”
อีกสิ่งที่สะดุดตาและเป็นซิกเนเจอร์เมื่อพูดถึงชื่อของ “หมู อายแวร์” ก็คือผมทรงบ็อบ พร้อมหน้าม้าเต่อ ประหนึ่งนักเรียนมัธยมต้น ซึ่งเอกลักษณ์นี้ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ แต่ผมทรงนี้อยู่กับเธอมาเกือบ 20 ปี แล้ว! เพราะเฮกบอกว่าตัดผมทรงนี้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 และต้องตัดโดยช่างที่รู้ใจเท่านั้น!
“ผมทรงนี้ตัดตั้งแต่ปี 2 เพราะว่าเป็นทรงที่ไม่ต้องดูแลอะไรเลย ตื่นมาสระผม เป่าผม หวีผมให้ตรงก็ออกไปได้แล้ว แต่ต้องตัดบ่อยนิดหนึ่งเพราะเดือนกว่าๆ ก็ยาวแล้ว หมูมีช่างตัดผมประจำชื่อ “ป้ายง” ร้านเขาอยู่ที่สีลม เป็นร้านที่ตัดตั้งแต่อายุ 15 ตัดมาเกือบ 20 ปีแล้ว ให้ตัดช่างอื่นก็ไม่โอเค เพราะป้ายงรู้จักเส้นผมหมูว่าควรจะตัดอย่างไร อย่าง หมูต้องตัดผมตอนที่แห้ง เพราะข้างซ้ายข้างขวาความหยักของผมไม่เท่ากัน ซึ่งช่างที่รู้จักเส้นผมของหมูถึงจะตัดได้ และอีกอย่างหมูรู้สึกว่าเวลาเราแต่งตัวเสื้อผ้าของเราก็เยอะแล้ว (หัวเราะ) ฉะนั้น หน้า ผม ไม่ต้องเยอะ”
ยิ่งในระยะหลังๆ ที่สไตล์ความชอบและความเป็นตัวตนของ “หมู จุฬาลักษณ์” ชัดเจนขึ้น หลายครั้งที่เราเห็นเธอใส่ชุดฟูฟ่อง อลังการหลากสีสัน ดูเหมือนจะเป็นสาวหวาน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย! ซึ่งเธอได้มาเผยเบื้องหลังของความเป็นตัวตนนี้ รวมไปถึงแบรนด์โปรดที่กลายมาเป็น DNA ของเธอในวันนี้
“ความจริงเสื้อผ้าของหมูไม่ซับซ้อน ชอบใส่แบบตัวเดียวจบ ชอบความสบาย ฉะนั้น ก็จะเลือกชุดที่รายละเอียดเยอะๆ อย่างชุดฟูฟ่องที่กลายเป็นสไตล์ของหมูในตอนนี้ ดูชวนฝันแต่ความจริงไม่ได้หวานเลย...แบรนด์โปรดคือ แบรนด์ “Simone Rocha” เป็นแบรนด์อังกฤษที่ชอบมาก ใส่เกือบจะทุกวันเลย สไตล์เขาจะมีความโรแมนติกแต่มีความดาร์กในตัว มีความ Dreamy แต่ไม่ Sweety เป็นสไตล์ที่เป็นเราสุดๆ วอลุ่มของเสื้อผ้าเป็น DNA ของเขาที่ชัดเจนมาก
เสื้อผ้าของเขาแต่ละซีซันส์เอามามิกซ์ได้หมดเลย อย่างแจ็กเกตที่ซื้อเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็ยังเอามาใส่กับคอลเลกชันล่าสุดได้ เขาไม่ได้ออกคอลเลกชันมาเพื่อจะตามแฟชั่น แต่เป็นสไตล์ของตัวเอง เรียกได้ว่าเราเป็นสาวกของแบรนด์นี้เลย
เรื่องที่รู้สึกประทับใจแบรนด์นี้คือ เคยไปดูโชว์แรกของเขาแล้วก็ซื้อของเขาตั้งแต่โชว์แรกเลย ที่ตื่นเต้นคือมาพบว่า แบรนด์ของเขามาวางขายที่สโตร์เดียวกับที่แว่นตาเราวางขายคือ Browns Fashion ที่ลอนดอน จนตอนนี้เขามีแฟล็กชิปสโตร์ที่ลอนดอน นิวยอร์ก ฮ่องกง”
เห็นเป็นสาวชอบความคลาสสิกวินเทจอย่างนี้ แต่ความลับหนึ่งของเธอคือเธอไม่ชอบซื้อของมือสอง! แม้จะเคยถูกใจเสื้อผ้าสวยๆ สุดคลาสสิกวินเทจแค่ไหนก็ตาม!
“หมูเป็นคนที่กลัวของมือสอง เคยซื้อมาแล้วไม่กล้าใส่ สวยนะแต่ไม่ใช่เรา เคยมีบ้างแต่น้อยมากที่เคยซื้อมาก็จะเป็นเครื่องประดับ ไม่ค่อยได้ไปเดินตาม Flea Market เท่าไหร่ ตอนนี้ชอปออนไลน์เป็นหลัก ส่วนใหญ่จะเสียเงินไปกับเสื้อผ้า เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยซื้อพวกกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับแล้ว อาจจะซื้อมาจนถึงจุดอิ่มตัว (หัวเราะ) สิ่งที่เคยซื้อๆ มาก็ยังเก็บไว้ และเอาออกมาใช้ตามโอกาส”
ส่วนในเรื่องการดูแลตัวเองนั้น เธอก็เป็นสาวคนหนึ่งที่ใส่ใจในเรื่องของการบำรุงตัวเองทั้งภายในและภายนอก “หมูออกกำลังกายอาทิตย์ละ 5 วันช่วงตอนเช้า ออกกำลังกายตอนเช้าแล้วร็สึกมีเอนเนอจี ชอบความตื่นตัวหลังจากออกกำลังกายเสร็จ นอกนั้นก็ดูแลตัวเองทั่วไปค่ะ อย่าง สกินแคร์ที่ใช้ก็จะแล้วแต่สภาพอากาศ ที่จริงการกินน้้ำเยอะๆ เห็นผลเลยนะ ร่างกายจะสดชื่นตลอดเวลา” สาวหมูกล่าวทิ้งท้ายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในทุกเรื่องทุกสไตล์ที่เป็นตัวเธอ